สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (28 มิถุนายน 2565)--------MST ทำนายไตรมาส3/65 คาด SET แกว่งผันผวนในกรอบ 1,500-1,700 จุด แนะทยอยสะสมBH, CPN, KBANK, MINT, SPA-ปรับลดเป้าหมาย SET สิ้นปีนี้ จาก 1,750 จุด ลงสู่ ระดับ 1,700 จุด จากการลด PE Ratio ลงสู่ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์ บล.เมยแบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST เปิดเผยว่า ภาพการลงทุนในช่วง 3Q65หรือไตรมาส3/65 คาด SET แกว่งผันผวนในกรอบ 1,500-1,700 จุด โดยตลาดจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันจาก การดําเนินนโยบายทางการเงินของ รนาคารกลางทั่วโลกที่เข้มงวดขึ้น เพื่อ แก้ปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง (คาดปีนี้ กนง. จะปรับอัตราดอกเบี้ย นโยบายของไทยขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยไทยสิ้นปีที่จะอยู่ ที่ระดับ 1.0) ซึ่งการดําเนินนโยบาย ดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลกอาจเป็นแรงกดดัน ทําให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสชะลอตัวได้ แต่ เชื่อว่าไทยยังคงห่างไหลจากภาวะ เศรษฐกิจถดถอย (Recession) ส่วนทางด้านสภาพคล่องในสินทรัพย์ ต่างๆที่หดตัวลง ทั้งจากการปรับลดงบดุล ของรนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่เริ่มขึ้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 65 และการปรับตัว ลดลงอย่างรุนแรงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ (Wealth Effect) เป็นอีกปัจจัยที่อาจ กระทบต่อภาพการลงทุนในระยะสั้น

แต่อย่างไรก็ดี คาดแนวโน้มของเศรษฐกิจใน ประเทศยังมีทิศทางที่ขยายตัวเด่นกว่ากลุ่ม ประเทศที่พัฒนาแล้ว (EU, US] โดยได้แรง หนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ที่จะ ช่วยให้ภาคการบริโภคของไทยมีโอกาสเติบโต ได้ดีกว่าคาด ผสานสัญญาณที่ดีขึ้นจากจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทย จะส่งผลให้ตลาด หุ้นจะกลับมาฟื้นเด่นในช่วงปลายปี หลังจาก ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วง 3Q65

กลยุทธ์การลงทุน : ประเมินจังหวะดัชนี สร้างฐานในช่วง 3Q65 เป็นโอกาสทยอย สะสมหุ้น โดยเน้นบริษัทที่มีการปรับตัวแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา และมีความสามารถเติบโตได้ ดีในอนาคต อีกทั้งยังเน้นบริษัทที่สามารถ ส่งผ่านต้นทุนตามภาวะเงินเฟ้อสูงไปยังปลาย น้ําได้ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว, ธนาคารพาณิชย์, การแพทย์ อาหาร เป็นต้น โดยหุ้นที่น่าสนใจในช่วง 3Q65 เราแนะนํา ทยอยสะสม BH, CPN, KBANK, MINT, SPA

นายวิจิตรกล่าวว่า จากการดําเนินนโยบายการเงินที่ตั้ง ตัวมากขึ้น ผสานสภาพคล่องที่ลดลง คาดจะส่งผลให้ตลาดยอมรับระดับการ ซื้อขายที่สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น จึง นามาซึ่งการปรับลดเป้าหมาย Valuation ที่ใช้อ้างอิง (De-rate PE Ratio) จากเดิมที่ใช้ระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปี + 0.5 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (SD) ลงมาเป็นระดับ PE ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีเท่านั้น ดังนั้นจึง ได้ระดับ PE Ratio อ้างอิงที่เหมาะสมที่ 17.8 เท่า

ในขณะที่คาดกําไรรวมของบริษัทจด ทะเบียนไทยปีนี้มีการปรับขึ้นเล็กน้อย โดย ประเมินกําไรต่อหุ้นของตลาด (SET EPS) ที่ 95.4 บาทต่อหุ้น (+0.3%YoY) เป็นผล มาจากแรงหนุนของกําไรกลุ่มพลังงาน, ปิโตร เคมี, การแพทย์ที่มากขึ้น ขณะที่โดนหักล้าง จากกําไรกลุ่มสื่อสาร, ธนาคาร, ไฟแนนซ์ และค้าปลีกที่โดนปรับลดประมาณลง เราจึงปรับลดเป้าหมาย SET สิ้นปีนี้ลงสู่ ระดับ 1,700 จุด (จาก 1,750) จากการลด PE Ratio ลงสู่ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง

----จบ----