Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: ส่งออกไทยพ.ค. พุ่ง 41.59% สูงสุดในรอบเกือบ 11 ปี

2,332

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(24 มิถุนายน 2564)--- นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนพฤษภาคม2564 พบว่า การส่งออก มีมูลค่า 23,057 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 41.59% สูงสุดในรอบ 11 ปี เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องน้ำมัน ทองคำ และอาวุธยุทธปัจจัยแล้ว การส่งออกขยายตัว 45.87% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการเติบโตที่ฟื้นตัวจากภาคเศรษฐกิจจริง ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 22,261 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 63.54% ส่งผลให้เดือนพ.ค. เกินดุลการค้า 795 ล้านดอลลาร์ฯ

สำหรับภาพรวมในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค. - พ.ค.64) การส่งออกมีมูลค่า 108,635 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 10.78% การนำเข้า มีมูลค่า 107,141 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 21.52% ส่งผลให้ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ไทยเกินดุลการค้า 1,494 ล้านดอลลาร์ฯ

ส่งออกไทย ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยธนาคารโลกมองว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีแนวโน้มฟื้นตัว เร็วกว่าที่คาดการณ์ จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) อยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 สะท้อนการขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคการผลิตโลก


ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า การส่งออกไทยในเดือนพ.ค. 64 ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 11 ปีที่ 41.59% YoY ขณะที่ เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ ยุทธปัจจัย การส่งออกไทยเดือนพ.ค. ขยายตัวที่ 45.87% YoY ส่งผลให้การส่งออกไทยใน 5 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวที่ 10.78% YoY และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ ยุทธปัจจัย การส่งออก 5 เดือนแรกขยายตัวที่ 17.13% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยสินค้าหลักที่ผลักดันการส่งออก ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เป็นต้น ขณะที่ หากพิจารณารายตลาดส่งออก การส่งออกไทยขยายตัวได้ดีในเกือบทุกตลาด โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรปยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเร่งฉีดวัคซีนภายในประเทศส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติมากขึ้น นอกจากนี้ การส่งออกไปอินเดียยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงที่ 243.83% YoY โดยการส่งออกน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากไทยเพื่อทดแทนการนำเข้าจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ราคาน้ำมันปาล์มพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ขณะที่การส่งออกไปยังสิงคโปร์และอินโดนีเซียพลิกกลับมาขยายตัวได้ในเดือนพ.ค. 2564 ส่งผลให้การส่งออกไปยังอาเซียน (5) พลิกกลับมาขยายตัวที่ 51.05% YoY หลังจากหดตัวที่ 4.42% YoY ในเดือนก่อนหน้า


ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ การส่งออกไทยปี 2564 ขยายตัวที่ 9.0% YoY ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งประมาณการที่ 9.0% ได้สะท้อนการคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยมองว่าการส่งออกสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผักผลไม้ น่าจะยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูป น่าจะยังคงเติบโตได้ดีจากปัจจัยด้านราคาที่มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่การส่งออกทองคำอาจถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยด้านราคาประกอบกับฐานที่สูง ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ อัตราขยายตัวของการส่งออกไทยน่าจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำและปัจจัยการชดเชยอุปสงค์ที่ค้างจากช่วงก่อนหน้า (pent-up demand) มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ดี ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อาจใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าจะคลี่คลายลง จากปัญหาคอขวดในระบบโลจิสติกส์โลกและปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้มีตู้คอนเทนเนอร์ติดค้างอยู่เป็นจำนวนมาก โดยประมาณการส่งออกนี้ได้มีการคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงเชิงลบจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ทั้งนี้ การส่งออกจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในปีนี้


อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจปัจจัยกดดันการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า โดยในขณะนี้หลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ เยอรมนี รัสเซีย ต่างเผชิญจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าสูงขึ้น ซึ่งโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามีการแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเผชิญการแพร่ระบาดอีกระลอก ดังเช่นในกรณีของสหราชอาณาจักรที่ขณะนี้สายพันธุ์เดลต้าได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่มีการแพร่ระบาดมากสุดไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้าพลัส ซึ่งคาดว่าเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดีย และการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์แกมมา ซึ่งวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดสายพันธุ์แกมมาเท่าที่ควร ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกแย่ลงอาจเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า

 

---จบ---

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

พยายาม By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นเส้นกราฟ เส้นเทคนิค ของดัชนีหุ้นไทย พยายามจะแตะ 1,200 จุด ให้ได้ เช้าวันนี้ ทำได้...

NKT เดินหน้า 2 บิ๊กโปรเจค ตอกย้ำผู้นำในการดูแลสุขภาพ

NKT เดินหน้า 2 บิ๊กโปรเจค ตอกย้ำผู้นำในการดูแลสุขภาพ

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้