Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : EPG โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 63/64 มีรายได้จากการขาย 2,330 ล้านบาท กำไรสุทธิ 308 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 313% จากไตรมาสก่อน พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.09 บาท 9 ธ.ค.นี้

4,669

HotNews : EPG โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 63/64 มีรายได้จากการขาย 2,330 ล้านบาท กำไรสุทธิ 308 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 313% จากไตรมาสก่อน พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.09 บาท 9 ธ.ค.นี้

 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(13 พฤศจิกายน 2563) รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าในช่วงเดือน ก.ค.63 - ก.ย.63 แม้หลายประเทศได้ผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid -19 ในภาพรวมยังไม่ดีขึ้น และยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

สำหรับการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 63/64 (ก.ค.63 – ก.ย.63) บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,329.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,762.5 ล้านบาท หรือปรับตัวลดลง 15.7% อย่างไรก็ตามบริษัทได้นำนโยบายลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือ นโยบาย “USE” (U: Utilization การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า S: Save การประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) มาใช้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.2% และมีกำไรสุทธิ 307.7 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 326.3 ล้านบาท หรือลดลง 5.7% หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 63/64 (เม.ย.63 – มิ.ย.63) มีกำไรสุทธิ 74.6 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 312.6% แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในรายไตรมาส

 

 

 

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้ แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 637.4 ล้านบาท หรือลดลง 20.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่มียอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างลดลงจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งเกิดความล่าช้าจากกระบวนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มบริษัท แอร์โรเฟลกซ์ สามารถรักษาระดับยอดขายได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน

 

 

 

ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,082.9 ล้านบาท หรือลดลง 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มบริษัท แอร์โรคลาส ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ลดลง แต่ธุรกิจในประเทศออสเตรเลียมียอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

 

หากเปรียบเทียบรายไตรมาสยอดขายของกลุ่มแอร์โรคลาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากคำสั่งซื้อของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ และธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย

 

 

 

สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 609.3 ล้านบาท หรือ ลดลง 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับผลกระทบจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศลดลง แต่ได้รับประโยชน์จากบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภท กล่องใส่อาหารชดเชย เนื่องจากผู้บริโภคนิยมสั่งอาหารเดลิเวอร์รี่ หรือซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตามยอดขายของบริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

 

 

 

บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า 1,625.2 ล้านบาท ลดลง 15.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามสัดส่วนการลดลงของยอดขาย โดยได้รับผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่อ่อนตัวลง ชดเชยกับต้นทุนคงที่ต่อหน่วยที่สูงขึ้น และบริหารจัดการให้ต้นทุนในการผลิตลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

 

นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ที่ 21.1 ล้านบาท โดยบริษัทร่วมทุนที่ผลิตสินค้าเพื่อขายให้อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากการที่ค่ายรถยนต์ในประเทศกลับมาเปิดดำเนินงาน

 

 

 

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 63 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 ก.ย. 63 ในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท (เก้าสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 252 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 30 พ.ย.63 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ธ.ค.63

 

 

 

3 เทพหุ้น ประสานเสียงเชียร์ซื้อ EPG

 


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า คงแนะนำ ซื้อ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) EPG แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.30 บาท จากเดิมที่ 5.50 บาท ยังคงอิง FY21E PER ที่ 20 เท่า (-1SD below 4-yr average PER) เนื่องจากเรามีการปรับกำไรปี FY21E ขึ้น โดย EPG รายงานกำไรสุทธิ 2QFY21E (Jul-Sep 2020) ที่ 308 ล้านบาท (-6% YoY, +307% QoQ) ดีกว่าที่ตลาดคาด +66% โดยมีกำไรพิเศษหลักๆ จาก 1) ธุรกิจที่ออสเตรเลียได้รับเงินช่วยเหลือ COVID-19 จากรัฐบาลราว 50 ล้านบาท และ 2) FX Gain 39 ล้านบาท โดยกำไรปกติอยู่ที่ 226 ล้านบาท (-35% YoY, +89% QoQ) ทั้งนี้กำไรที่ปรับตัวดีขึ้น QoQ มาก เนื่องจาก 1) ธุรกิจ Aeroklas (ชิ้นส่วนรถยนต์) ฟื้นตัวดีขึ้นมากจากยอดผลิตรถยนต์ในประเทศและต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น และ 2) ธุรกิจ EPP (บรรจุภัณฑ์) ปรับตัวดีขึ้นตามการบริโภคที่ฟื้นตัว เรามีการปรับกำไรสุทธิ FY21E ขึ้น 10% เป็น 878 ล้านบาท (-12% YoY) จากกำไรพิเศษ และปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด

 



ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นและ outperform SET +10% ในช่วง 3 เดือน จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ จากผลการดำเนินงานที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าแนวโน้มทั้ง 3 ธุรกิจหลักจะทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องใน 2HFY21E โดยเฉพาะ Aeroklas ที่จะดีขึ้นมากจากฐานที่ต่ำ

 

 

กำไรสุทธิ 2QFY21 ฟื้นตัว QoQ โดดเด่น และดีกว่าคาดมาก EPG รายงานกำไรสุทธิ 2QFY21 ที่ 308 ล้านบาท (-6% YoY, +307% QoQ) ดีกว่าที่ตลาดและเราคาด +66% และ +47% ตามลำดับ โดยมีรายการพิเศษหลักๆ จาก 1) ธุรกิจที่ออสเตรเลียได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลียจากผลกระทบ COVID-19 ราว 50 ล้านบาท และ 2) FX Gain จำนวน 39 ล้านบาท ดังนั้น หากไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 226 ล้านบาท (-35% YoY, +89% QoQ) ดีกว่าเราคาด 12% ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว QoQ ได้โดดเด่น เป็นผลจาก 1) ธุรกิจ Aeroklas (ชิ้นส่วนรถยนต์) กลับมาฟื้นตัวโดดเด่นจากฐานต่ำในไตรมาสก่อน โดยรายได้เติบโตถึง 44% QoQ ตามทิศทางยอดผลิตรถยนต์ในประเทศเดือน ก.ค.-ก.ย.20 ที่กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว และยอดขาย TJM ที่ออสเตรเลียกลับมาเริ่มดีขึ้น

 

 

รวมถึงสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 29.1% จากไตรมาสก่อนที่ 25.1% และ 2) ธุรกิจ EPP (บรรจุภัณฑ์) รายได้ 8% QoQ และอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 17.8% จากไตรมาสก่อนที่ 16.6% ตามการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจ Aeroflex (ฉนวนกันความร้อน/เย็น) แนวโน้มรายได้ทรงตัว QoQ เนื่องจากหลายโครงการในประเทศยังชะลอการก่อสร้าง

 



ปรับกำไรสุทธิปี FY21E ขึ้น แนวโน้มทั้ง 3 ธุรกิจหลักกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น เราปรับกำไรสุทธิปี FY21E ขึ้นจากเดิม 10% เป็น 878 ล้านบาท (-12% YoY) จากผลกำไรพิเศษในงวด 2QFY21 และคาดว่ายังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีกว่าคาด ส่งผลให้เราปรับคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นขึ้นเป็น 29.9% จากเดิม 28.9% ทั้งนี้ เราคาดว่าผลการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจหลักในงวด 2HFY21E จะดีขึ้นต่อเนื่อง โดย 1) Aeroflex จะได้ผลบวกจากแนวโน้มภาคการก่อสร้างทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ฟื้นตัว, 2) Aeroklas จะดีขึ้นต่อเนื่องจากฐานต่ำ โดยยอดผลิตรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มกลับมาทยอยปรับตัวดีขึ้น รวมถึงอาจยังได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และ 3) EPP จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว และเข้าสู่ช่วง high season

 

 

ปรับราคาเป้าหมายเป็น 6.30 บาท จากเดิมที่ 5.50 บาท ยังอิง FY21E PER ที่ 20 เท่า (-1SD below 4-yr average PER) เนื่องจากเรามีการปรับกำไรสุทธิขึ้น โดยมี key catalyst จากแนวโน้มกำไรจะดีขึ้นต่อเนื่องในงวด 2HFY21E จากทั้ง 3 ธุรกิจหลักที่ทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะ Aeroklas ที่จะดีขึ้นมากจากฐานที่ต่ำ

 

 


บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่ากำไร 2Q64 ของ EPG โตเด่นดีกว่าที่ฝ่ายและตลาดคาด EPG ประกาศผลดำเนินงาน2Q64 (สิ้นสุด ก.ย. 63) มีกำไรสุทธิ 308 ลบ. ดีกว่าที่ทางฝ่ายคาดที่ 207 ลบ.จากรายได้การขายและ GPM ที่ดีขึ้นโดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 307.3% q-q แต่ยังลดลง 5.9% y-y ทั้งนี้ผลดำเนินงานที่ดีขึ้น q-q มาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น19.3% q-q นำโดย ARK ที่ยอดขายโตเด่น 44.1% q-q และ GPM ที่เพิ่มขึ้นเป็น29.1% จาก 1Q64 ที่ 25.1% สอดรับกับอุตฯ ยานยนต์ที่ฟื้นตัวในไทยบวกกับธุรกิจ TJM ในออสเตรเลียดีขึ้น อีกทั้งได้ส่วนช่วยจากเงินสนับสนุน COVID-19จากรัฐบาลออสเตรเลีย รองลงมาได้แก่ EPP ที่มีรายได้โต 7.8% q-q และ GPM ที่ดีขึ้นจาก 16.6% ใน 1Q64 เป็น 17.8% ส่วน AFC ยอดขายและ GPM ทรงตัว

 

 

เพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างปรับ : แม้ผลดำเนินงาน2Q64 จะออกมาดีกว่าคาด และสื่อถึงแนวโน้ม ช่วงที่เหลือของปี 64 คาดยังดีต่อแต่ด้วยความกังวลเรื่อง COVID-19 ที่ยังเป็นปัจจัยยังเป็นปัจจัยกดดัน เบื้องทางฝ่ายปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ ขณะที่ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างประเมินใหม่อีกครั้ง หลังจากงานประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 19 พ.ย. 63

 

 

 

บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า EPG รายงานกำไรสุทธิ 2Q63 (สิ้นงวดเดือน ก.ย.) จำนวน 308 ลบ. ลดลง 5.2%YoY แต่ฟื้นตัวเด่น 307.3%QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและการตั้งสำรองการด้อยค่าของสินทรัพย์จำนวนที่บันทึกในไตรมาสนี้รวม 33 ลบ. และบันทึกผลขาดทุนใน 2Q63 จำนวน 44 ลบ. จะมีกำไรปกติ 276 ลบ. เพิ่มขึ้น 130.6%QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด

 



ปัจจัยบวกหลักมาจากรายได้ของธุรกิจอะไหล่ยานยนต์ของ ARK ที่ฟื้นตัวเด่น 44.1%QoQ หลังโรงงานผลิตยานยนต์ที่เคยหยุดดำเนินงานในช่วง Lock Down ได้กลับมาเดินเครื่องผลิตตามปกติ ทำให้เห็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายในฝั่ง OEM ทั้ง Bed liner และ Side Step เพิ่มขึ้น บวกกับรายได้ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ EPP ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นราว 7.8%QoQ ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทาง ศก. ในช่วงหลังปลด Lock Down ส่วนธุรกิจฉนวนยางของ AFC ทำได้เพียงทรงตัว QoQ เนื่องจากปริมาณการใช้งานฉนวนยางในประเทศลดลงไปมาก

 

 

พลิกกลับมามีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (TER และ ZAP) จำนวน 21 ลบ. จากมีผลขาดทุน 21 ลบ. ใน 1Q63 สอดรับกับอุตสาหกรรมอะไหล่ยานยนต์ที่ฟื้นตัวได้ดีจากการเร่งกลับมาผลิตยานยนต์ในช่วงปลายปี

 



อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 30.2% จาก 28.9% ใน 1Q63 หลังเริ่มเห็นผลลัพธ์จากการปรับโครงการสร้างการผลิตและการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บวกกับเป็นผลจาก Economies of Scales ที่ดีขึ้นตามการใช้กำลังการผลิตอะไหล่ยานยนต์และบรรจุภัณฑ์ที่เร่งตัวขึ้น

 

 

กำไร 1H63 คิดเป็น 45.1% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม คาดผลดำเนินงานใน 2H63 จะปรับตัวขึ้น HoH หลังได้แรงหนุนจาก 1) การฟื้นตัวของคำสั่งซื้อฉนวนยางในประเทศและในภูมิภาค 2) การเร่งผลิตอะไหล่ยานยนต์ในส่วนของ OEM ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางยอดขายยานยนต์ในประเทศที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี 3) แผนเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์โดยหันไปรุกตลาดสินค้าระดับ C และ D มากขึ้น รวมถึงการขยายตลาด Ready to Eat ที่กำลังได้รับความนิยม และ 4) อัตรากำไรขั้นต้นคาดปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และรับรู้ผลปัจจัยบวกจากการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายและกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนให้เราคาด EPG จะมีกำไรปกติในปี 2563 จำนวน 876 ลบ. ลดลง 12.4%YoY ตามประมาณการเดิม

 

 

ยังคงมุมมองบวกต่อทิศทางธุรกิจของ EPG โดยคาดเป็นหนึ่งในหุ้นที่สามารถเกาะไปกับกระแสการฟื้นตัวของยอดขายยานยนต์ได้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เหลือราว 9.4% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2563 ที่ 5.80 บาท (อิง PER ที่ 18.4x ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 5 ปี -1 S.D.) และคาดให้ Div. Yield อีก 3% จึงคงแนะนำ ซื้อ

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้