HotNews : ก้าวต่อไปของ PTTEP

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (26 สิงหาคม 2563) "พงศธร ทวีสิน" บิ๊กบอส PTTEP คาดปี 64 ปริมาณขาย 3.8 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปีนี้ประเมิน 3.5 แสนบาร์เรลต่อวัน ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 45 เหรียญ/บาร์เรล ลุ้นโครงการโรงไฟฟ้า Gas to power ในพม่า ขนาด600 MW ได้ข้อสรุป 1-2 เดือนนี้ แย้มซุ่มทำดีลซื้อกิจการธุรกิจแก๊สธรรมชาติ ในตปท. หวังได้ข้อสรุปปีนี้

 

 

 

 

 

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) PTTEP เปิดเผยถึงความคืบหน้าการลงทุนต่อยอดการนำก๊าซจากแหล่งปิโตรเลียมไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้า (Gas to Power) ในประเทศเมียนมา โดยมีขนาดกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ว่าคาดในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า น่าจะได้ข้อสรุป เนื่องจากช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการเลือกตั้งที่เมียนมา ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจจะส่งผลต่อนโยบายการลงทุน ทำให้ทางบริษัทฯ ต้องรอดูความคืบหน้าอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าโครงการนี้จะสามารถเดินหน้าได้ เนื่องจากประเทศเมียนมามีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อพัฒนาประเทศ ถือเป็นโครงการที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ

 

 

สำหรับการขุดสำรวจในปีนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าไปตามแผน แม้จะมีสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีการขุดสำรวจไปแล้ว 3 แหล่ง ที่ประเทศเม็กซิโก 2 หลุม และที่เมียนมา 1 หลุม เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการเดินทางช่วงโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการเดินทางเข้าประเทศ อย่างไรก็ตามปีนี้ จำนวนหลุมที่จะเจาะสำรวจอาจจะลดลง 50% จากที่ตั้งเป้าขุดสำรวจจำนวน 18 หลุม โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ จะทยอยขุดสำรวจอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนขุดเจาะสำรวจ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

 

ทั้งนี้บริษัทฯ จะโฟกัสการลงทุนในกลุ่มประเทศที่บริษัทได้เคยเข้าไปลงทุน เช่น เมียนมา, มาเลเซีย ,โอมาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย ซึ่งนอกจากธุรกิจแก๊สธรรมชาติ บริษัทฯ ยังให้ความสนใจธุรกิจ Renewable energy เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมเป็นต้น แต่ทั้งนี้บริษัทฯ จะไม่ได้เป็นผู้ลงทุนหลัก

 

 

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังกลับมาการใช้กลยุทธ์การเติบโตโดยการเข้าซื้อกิจการโดยขณะนี้มีดีลซื้อกิจการธุรกิจแก๊สธรรมชาติ 1 แห่งในกลุ่มประเทศที่บริษัทได้เคยเข้าไปลงทุน ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตใหญ่กว่าแหล่ง Partex โดยแหล่งเงินทุนบริษัทฯ มีความพร้อม เนื่องจากมีกระแสเงินสดอยู่ประมาณ 3,000 ล้านเหรียญฯ ทั้งนี้บริษัทฯ มีความคาดหวังว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

 

 

 

 

 

นอกจากนี้จะขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ เช่นการตรวจสอบและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ใต้น้ำ ,ฟาร์มมิ่ง , การแพทย์ และการใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) เป็นต้น โดยเป็นการลงทุนผ่านบริษัทย่อย "A.I & Robotics Venture (ARV)" ซึ่งได้เปิดดำเนินการมาประมาณปีครึ่ง แล้ว และมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจไปอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าบริษัท ARV มีศักยภาพเพียงพอที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าได้หลังมีกำไรสุทธิแล้ว

 

 

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขายเงินลงทุนในโครงการแหล่งปิโตรเลียม Cash Maple ที่ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่คุ้มค่าการกับลงทุน ขณะที่บริษัทฯ ประเมินปริมาณขายปิโตรเลียมปี2564 น่าจะอยู่ที่ระดับ 380,000 บาร์เรลต่อวัน จากในปีนี้ 350,000 บาร์เรลต่อวัน โดยคาดการณ์ราคาขายจะเฉลี่ยอยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ราว 45 เหรียญ/บาร์เรล

 

 

นายพงศธร กล่าวทิ้งท้ายว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัฯ (บอร์ด) ในช่วงเช้าซึ่งนอกจากการประชุมตามปกติแล้ว จะมีวาระพิจารณาการต่ออายุวาระตำแหน่งของตนเองที่จะเกษียณอายุในเดือน ก.ย. นี้ ออกไปอีก 1 ปี แต่ทั้งนี้ตนยังไม่ทราบว่าจะได้รับการต่ออายุให้ดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับบอร์ดจะพิจารณา แต่หากได้รับการต่ออายุก็พร้อมที่จะทำงานต่อไป

 

 

 

 

 

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า PTTEP คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงประมาณ US$40-50/bbl ใน 2H63 โดยได้แรงหนุนจากการที่สมาชิก OPEC+ ปฏิบัติตามข้อตกลงลดอุปทานมากขึ้น เรามองว่าราคาน้ำมันในระดับประมาณนี้ทำให้ผู้ผลิตเกือบทุกรายสามารถทำกำไรได้พอที่จะเดินหน้าทำธุรกิจได้ โดยต้นทุนของผู้ผลิต shale oil ในสหรัฐส่วนใหญ่ในสามแหล่งน้ำมันหลัก (Permian, Eagle Ford และ Bakken) มีจุดคุ้มทุนที่สูงกว่า US$40/bbl ทั้งนี้เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น US$45/bbl และอยู่ที่ประมาณ US$42/bbl ใน YTD63 เราจึงยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้เอาไว้ที่ US$45/bbl และปีหน้าที่ US$53/bbl ซึ่งเป็นเพราะ OPEC+ ตกลงที่จะลดการผลิตลง 7.7MBD ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2563 และ 5.7MBD ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2564 ในขณะที่อุปสงค์ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์การระบาด COVID-19 ที่คลี่คลายลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประสบความสำเร็จในการค้นคว้าวัคซีน

 

 

 

คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ PTTEP จะฟื้นตัวขึ้น QoQ ใน 3Q63 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบและปริมาณยอดขายเพิ่มขึ้นทั้งคู่ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบวิ่งขึ้นมาแล้วถึง 45% QoQ จาก US$31/bbl ใน 2Q63 มาอยู่ที่ประมาณ US$45/bbl ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ของ PTTEP สูงขึ้น ถึงแม้บริษัทจะคาดว่าราคาขายก๊าซจะลดลง 4% QoQ เหลือ US$6.1/mmbtu ก็ตาม นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าปริมาณยอดขายใน 3Q63 จะเพิ่มขึ้น 4% QoQ เป็น 340KBOED เนื่องจากอุปสงค์การใช้ก๊าซในประเทศเพิ่มขึ้นจากการที่สถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายลงไป ทั้งนี้เราคาดว่าราคาขายก๊าซจะลดลงอย่างมากเหลือแค่ประมาณ US$5/mmbtu ใน 4Q63 เนื่องจากจะมีการปรับราคาขายก๊าซจากอ่าวไทยรอบใหญ่ในไตรมาสที่สี่ของทุกปี

 

 

 

 

 

 

การระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตปิโตรเลียมหลายรายประสบภาวะวิกฤติทางการเงิน ทำให้ PTTEP มองเห็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อกิจการในธุรกิจ E&P ในประเทศทที่บริษัทคุ้นเคยดีอยู่แล้วอย่างเช่น ประเทศไทย, เมียนมาร์, มาเลเซีย, UAE และ Oman เนื่องจากบริษัทมีเงินสดในมือมากถึงประมาณ 3.1 พันล้านเหรียญเมื่อสิ้นงวด 2Q63 ทั้งนี้บริษัทมุ่งเน้นที่จะซื้อสินทรัพย์ในธุรกิจก๊าซเพื่อเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ของธุรกิจก๊าซในพอร์ตของ PTTEP จาก 70% เป็น 80% นอกจากนี้ บริษัทก็ยังจะมุ่งขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ อย่างเช่น Gas-to-Power และ AI & Robotics โดยตั้งเป้าจะทำรายได้จากธุรกิจใหม่ให้ได้ประมาณ 20%

 

ยังคงคำแนะนำถือ PTTEP และให้ราคาเป้าหมาย DCF 1H64 ที่ 105.00 บาท อิงจาก WACC ที่ 11% และ terminal growth ที่ 1%

 

 

Risks ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ และการกลับรายการ DTA ที่เหลืออีกประมาณ 13 ล้านเหรียญ หลังจากที่กฎหมายใหม่ของไทยเกี่ยวกับการบันทึกค่าใช้จ่ายภาษีมีผลบังคับใช้เต็มที่ใน 3Q63