HotNews : MEGA เป้าปี 63 ดันรายได้โต 5-10% ทุ่มงบลงทุน 450 ลบ.

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (3 ธันวาคม 2562) MEGA ปักธงรายได้ปี 63 โต 5-10% เน้นเจาะตลาดต่างประเทศ-ออกผลิตภัณฑ์ใหม่มากกว่า 10 รายการ พร้อมวางงบลงทุน 450 ล้านบาท รองรับการปรับปรุงประสิทภาพในการผลิต - สร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่ที่ประเทศพม่า เพื่อผลิตยาอื่นๆนอกเหนือจากวิตามินบำรุงมูลค่าลงทุนกว่า 350 ล้านบาท คาดจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563

นายวิเวก ดาวัน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 2563 เติบโตที่ระดับ 5-10% เนื่องจาก บริษัทฯจะเน้นเจาะตลาดในต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีการจำหน่ายสินค้าท้งสิน 33 ประเทศทั่วโลกซึ่งยังคงมียอดขายที่ดีอยู่ รวมทั้งบริษัทฯยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่องมากกว่า 10 รายการด้วยเช่นกัน

อีกทั้ง เดือนมกราคมปี2563 บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัท FUTAMED ในประเทศอินโดนีเซีย หลังกระบวนการซื้อหุ้น จำนวน 83% มูลค่าการลงทุน 415 ล้านบาท การโอนกรรมสิทธิ์ และการจ่ายเงิน จะแล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยบริษัทฯดังกล่าวมียอดขายเฉลี่ยอยุ่ที่ประมาณ 4 ล้านเหรียญต่อปี
สำหรับ ปี2563 บริษัทฯวางงบลงทุน จำนวน 450 ล้านบาท เพื่อใช้รองรับการปรับปรุงประสิทภาพในการผลิต และสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่ที่ประเทศพม่า เพื่อผลิตยาอื่นๆนอกเหนือจากวิตามินบำรุง ซึ่งมูลค่าการลงทุนกว่า 350 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563
ส่วนความคืบหน้าการสร้างโรงงานที่บางปู ซึ่งใช้งบลงทุนราว 510 ล้านบาท ซึ่งแบ่งการก่อสร้างเป็น 3 ส่วน

โดยปัจจุบันคลังสินค้า ขนาดพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ส่วนศูนย์วิจัยและพัฒนา(R&D)คาดก่อสร้างแล้วเสร็จต้นปี 2563 หลังจากนั้นบริษัทจะให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพในช่วงไตรมาส 2/2563 จึงจะเริ่มผลิตได้ ส่วนโรงงานพัฒนายาชนิดใหม่ปัจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง

"ขณะที่ บริษัทฯยังคงมั่นใจว่ารายได้ปี 2562 จะเติบโตตามเป้าที่ระดับ 6-10% จากปีก่อนที่ทำได้ 10,456.21 ล้านบาท หลัง 9 เดือนแรกบริษัททำได้แล้ว 8,116.61 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายของ Mega We Care และ Maxx care ทั้งผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเมินว่าไตรมาส4/2562 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดเมอื่อเทียบกับทุกไตรมาสหลังเข้าไอซีซั่นและบริษัทฯมีการออกโปรโมชั่นใหม่ๆ"

ด้านสำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า ปรับประมาณการรายได้ปี 2019-20F MEGA ลง 2% และ 3% ตามลำดับ พร้อมปรับอัตรากำไรลงเป็น 42.1% จากเดิมที่ 44.1 - 44.5%, SG&A ต่อยอดขายเป็น 30% จากเดิมที่ 31% ทำให้ผลประกอบการลดลง 12% และ 18% ตามลำดับ เป็น 1.1 และ 1.28 พันล้านบาท ทำให้มูลค่าที่เหมาะสมลดลงเป็น 33 บาท จากเดิมที่ 35.50 บาท อิง PER ที่ 22.50 เท่า และคิดเป็น PEG ที่ 1.8 เท่า ปรับคำแนะนำลงเป็น "ถือ"

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" MEGA แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเป็น 41.50 บาทจาก 43.00 บาท หลังจากที่เราได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-64 ลง เพื่อสะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่อ่อนแอและคาดการณ์ว่าจะมีผลขาดทุนเพิ่มเติมในระยะสั้นจากการเข้าซื้อหุ้นของ FUTAMED ในปี 2563-64 อย่างไรก็ดี เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ เพราะจะช่วยให้ MEGA สามารถเจาะตลาดอาหารเสริมและยาขนาดใหญ่ที่สุดและเติบโตอย่างรวดเร็วในอินโดนีเซียด้วยต้นทุนการลงทุนที่สมเหตุสมผล เราคาดว่ากำไรไตรมาส 4/2562 จะแตะจุดสูงใหม่ และมองว่ากำไรปี 2563 จะกลับสู่ระดับการเติบโตที่ 13% เทียบกับ -3% ในปี 2562 ปัจจุบันมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกด้วยการซื้อขายในระดับ PER 20.7 เท่าสำหรับปี 2563 หรือเทียบ -2SD ต่อค่าเฉลี่ยย้อนหลัง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ปี 2563 ของกลุ่มพาณิชย์อย่างมาก

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาพื้นฐาน MEGA ที่ 35 บ. แนะนำ "ทยอยซื้อ": กำไร 9M62 คิดเป็นเพียง 6% ของประมาณการเดิม ทางฝ่ายปรับลดกำไรทั้งปีลงเป็น 1,100 ลบ. -8.8% y-y (และกำไรปกติ 1,166 ลบ. -1.0% y-y) แนวโน้ม 4Q62 แม้คาดยอดขายปรับตัวสูงขึ้น y-y และ q-q จากเข้าสู่ช่วง High Season แต่คาดมาริ์จิ้นยังลดลงจากที่ทำไว้ดีมากในปีก่อน (48.4%) ส่งผลให้กำไรมีโอกาสปรับลดลง y-y (แต่ดีขึ้น q-q) ทางฝ่ายปรับใช้ราคาพื้นฐานปี 63 ที่ 35 บ. ระดับราคาปัจจุบัน แนะนำ "ทยอยซื้อ"

MEGA