Today’s NEWS FEED

สัมภาษณ์/รายงานพิเศษ

สัมภาษณ์พิเศษ: เจาะใจ "สุทธิพจน์ อริยสุทธิวงศ์" ทำไมลงทุน MAX 2 พันล้านหุ้น? ( ภาคแรก)

8,309

  "สุทธิพจน์ อริยสุทธิวงศ์"   ชื่อนี้อาจไม่ค่อยคุ้นตากันเท่าไหร่  แต่ประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดา  "สุทธิพจน์ "   เล่าให้ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ฟังว่า เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2541  หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรโยธา รุ่น 77 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นอกจากจะเป็นนักลงทุนแล้ว  "สุทธิพจน์"   ยังสวมหมวกการเป็นผู้บริหาร  บริษัท เอฟ.จี.ซี. เฟอร์นิฟอร์ม จำกัด  ที่ทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เป็นธุรกิจของครอบครัวอีกด้วย  

สไตล์การลงทุนของ "สุทธิพจน์"  คือ การเลือกหุ้น Turnaround   ปัจจุบันพอรต์การลงทุนมากว่าหลัก100  ล้านบาท "สุทธิพจน์"  ให้ความสำคัญว่า ผู้บริหารของบริษัทคือใคร แนวคิดเป็นอย่างไร จากนั้นจะวิเคราะห์ ประมวลผล ด้วยตัวเองอย่างถ่องแท้ ปัจจัยทุกอย่างต้องประกอบกันได้เหมาะเจาะลงตัว หุ้นตัวนั้นจึงจะเข้าเกณฑ์น่าสนใจลงทุน เขาเลือกลงทุนใน
บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)MAX โดยเข้ามาซื้อ 2 พันล้านหุ้น ผ่านการชักชวนของ  "ชำนิ จันทร์ฉาย "  รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAX   โดยมองว่า  MAX  ผ่านจุดต่ำสุดเเล้ว  หวังว่าจะกลับมามีกำไรในอนาคตและจะขอลงทุนแบบ  Long Term  ...ขอเชิญอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มๆๆ  ได้เลยค่ะ

*** ประวัติการลงทุนของคุณสุทธิพจน์

ผมจบวิศวะจุฬาประมาณปี 2540  ผมจบสายโยธาก็เป็นช่วงที่เกิดฟองสบู่ (Bubble Economy)   ซึ่งช่วงนั้นหางานยากทั้งรุ่นส่วนใหญ่จะไปเป็นเจ้าของกิจการหรือไม่ก็ไปเรียนต่อเมืองนอกหมด 

*** ครอบครัวของคุณสุทธิพจน์ ทำธุรกิจอะไร

ครอบครัวของผมทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  ซึ่งหลังจากเรียนจบผมก็ได้ไปทำงานประจำช่วงหนึ่งแต่ไม่ชอบ ก็กลับมาทำธุรกิจส่วนตัวที่บ้าน ขณะนั้นคุณพ่อทำอยู่ มีพนักงานประมาณ 10 คน  หลังจากนั้นผมก็เข้าไปเทคโอเวอร์คุณพ่อมา  คือเข้าไปขอคุณพ่อมาทำเอง ทุกอย่างจัดการให้หมดซึ่งผมก็ทำมา3-4 ปี  ทุกอย่างก็มีการขยับขยายตอนนี้ก็มีพนักงงานประมาณ 200  กว่าคน 

***เฟอร์นิเจอร์ที่ทำเป็นแบรนด์อะไร

ชื่อแบรนด์เอสต้าครับ  ถ้าเป็นค้าส่งคงจะเป็นเบอร์ไม่เกิน Top5   แต่ว่าแบรนด์ของเราจะเน้นชุดห้องนอนและเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ในบ้านเป็นหลัก  อีกส่วนหนึ่งก็จะทำงานโครงการลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็น LPN   เป็นลูกค้าหลัก ปีหนึ่งเราทำอยู่ 4,000-5,000 ยูนิต  

***ยอดขายต่อปีประมาณเท่าไหร่
ประมาณ 200  กว่าล้านบาทต่อปี ครับ  

*** กลับมาที่ครอบครัวนิดหนึ่ง  คุณสุทธิพจน์มีพี่น้องกี่คนครับ
มี 3  คนครับ ผมเป็นคนโต  ตอนนี้ก็จะมีน้องสาวที่ช่วยงานที่บริษัทฯ จะดูในเรื่องการตลาดเป็นหลัก ส่วนน้องอีกคนหนึ่งจะทำธุรกิจส่วนตัวครับ 

***จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสุทธิพจน์อยากจะเข้ามาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น 

ก็คิดว่าน่าจะรวยง่ายดีครับ ผมมีความคิดตั้งแต่เด็กเเล้วว่าอยากทำธุรกิจ แต่ผมก็จะเป็นคนที่มีความขี้เกียจในระดับหนึ่ง เลยหาอะไรที่ทำให้เรารวยขึ้นแต่ว่าไม่ต้องเหนื่อยมาก 
ก็มีการศึกษามาเรื่อยๆ   และหลังจากที่ผมทำธุรกิจเองมาช่วงหนึ่งเริ่มมีเงินก็เริ่มสนใจที่จะลงทุน 

***เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ปีอะไร 
ก็ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ประมาณปี 2541  แต่ก็หยุดไปทำกิจการส่วนตัวแล้วก็กลับมาอีกครั้งหนึ่งประมาณปี 2547-2548 

***หน้าตักการลงทุน   คุณสุทธิพจน์ เยอะมั้ย
ช่วงแรกไม่ได้เยอะมากซื้อไว้แล้วก็หายไป  แต่ว่ารอบ2   ก็พอสมควร ก็ประมาณ20-30 ล้านบาท 

**รอบที่ซื้อแล้วหายไปส่วนใหญ่เก็บตัวไหน 
ตอนนั้นซื้อน้อยซื้อแค่ตัว- 2 ตัว  ไม่ค่อยได้เล่นเพราะว่าผมก็ไปทำกิจการส่วนตัวแล้วก็กลับมาเล่น อันนี้จะค่อนข้างลงทุน เพราะว่าทำกิจการมาก็เริ่มมีเงินก็ลงทุนส่วนใหญ่ก็จะเลือกแต่หุ้นดีๆ   แต่ว่าก็เจ๊งเยอะ  ช่วงแรกพูดเลยว่าซี้ซั้วเล่นแต่ก็เล่นกลุ่ม ปตท.  ที่ช่วงนั้นกำลังพีค ผมเล่นจาก 10  กว่าล้านบาทขึ้นไปเป็น 40  กว่าล้านบาท  แล้วก็ลงมาเหลือ 10  กว่าล้านบาท  แล้วก็หยุดเล่นไปพักหนึ่ง เพื่อไปทำธุรกิจ เสร็จแล้วก็ไปศึกษาพวกเทคนิคอลต่อ ดูกราฟ 
***แสดงว่า คุณสุทธิพจน์  มีการเข้า-ออกตลาดหุ้นถี่เหมือนกัน 

ช่วงนั้นก็ถือว่าถี่พอสมควร เหมือนกับว่าพอหายเจ็บแล้วก็กลับมา  พอเราไปเรียนรู้ใหม่ แล้วก็กลับมา  แต่ว่าช่วงแรกๆ ผมก็ยังไม่ได้ดูงบ ดูแค่ว่าธุรกิจแบบนี้น่าจะดี ไม่รู้ว่าตลาดอย่างนี้มันพีคไม่พีค  แล้วก็ไปดูกราฟ แล้วก็มีช่วงที่ผมไปเลียแผล 2-3 ปี  เป็นช่วงที่ทองขึ้นผมจำปีไม่ได้จากไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วชู้ตขึ้นไปเยอะๆ   หลังจากที่ดูกราฟผมก็ไปเล่นพวกคอมมูนิตี้ พวก เฟอร์เร็กซ์ ที่ต่างประเทศคือไปเปิดบัญชีที่ต่างประเทศ ก็ยังไม่ได้เล่นหุ้นใช้เงินไม่เยอะมากประมาณ 2-3  ล้านบาท ก็เล่นไป มีได้มาแล้วก็เจ๊ง แล้วก็ได้ใหม่ หลังสุดก็ได้เพราะว่าเรียนไปจนได้รู้เติมเงินไปหลายรอบ  จนเข้าใจว่าตลาดเป็นอย่างนี้
สุดท้ายก็เบาๆ ไปเพราะว่าตลาดอยู่กลางคืน  พอเริ่มมีตังค์ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยคุ้มกับสุขภาพก็เลยเบาๆ มือไป  ทำให้กลับมาสนใจหุ้นอีกรอบหนึ่ง ตอนนั้นเป็นปีรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์   วันที่มียิงกันวันแรกเป็นวันที่กราฟหุ้นมาวันแรกวันนั้นเป็นวันที่ผมกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรก เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่ที่มีสัญญาณซื้อตามเทคนิคอล   ผมก็ซื้อไปตามเงินเท่าที่มีตอนนั้น ประมาณ 2-3   ล้านบาท แล้วก็ซื้อไปหมดเลยแต่ว่าค่อยๆ  ทยอยกลับมาซื้อ  วันนั้นผมยังบอกแม่เลยว่าซื้อหุ้นหมดแล้ว แม่ผมยังบอกเลยว่าซื้อไปได้ไงเข้ายิงกันอยู่   ผมก็บอกไปว่าซื้อไปตามเทคนิคอล

***ทางบ้านได้มีการอัดฉีดช่วยมั้ย

ไม่ได้ช่วยคือตอนนั้นผมค่อยๆ  ถ่ายพอร์ตจากเมืองนอก คือขายพวกฟอร์เร็กซ์ออกมา ตอนนั้นพอร์ตผมอยู่ที่ประมาณ 10  กว่าล้านบาท  ตอนนั้นที่เข้ามาก็ไปได้เลือกลงทุนอะไรมากเพราะว่ามีหุ้นให้เลือก 400   ตัวผมก็ไม่รู้ว่าจะเลือกตัวไหน ผมก็เลือกแต่กลุ่มเดิมๆ  อย่าง PTT  เพราะว่าตอนนั้น Break  ขึ้นมา  แต่ก็ถือว่าไปได้ลงทุนเยอะมากเพราะว่าตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษาเรื่องงบ แต่ก็เล่นตามเทคนิคมาเรื่อยๆ   

***แล้วที่เริ่มเล่นอย่างจริงจัง ที่เล่นอย่างครบเครื่อง นับตั้งแต่เมื่อไหร่ 

จริงๆ  ต้องขอย้อนไปวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์  เพราะช่วงนั้นผมจะดูจากเทคนิคเคิลผมก็เตือนทุกคนว่าเลิกเล่นหุ้นไทยเถอะ  เพราะว่าหลังจากนั้นไม่นานสัก 2-3  อาทิตย์ ทุกอย่างก็คอเร็กซ์  ตอนนั้นผมก็รู้ว่าถ้าเทคนิคอลจะค่อนข้างแม่น แต่ที่นี้ ปัญหาพอกลับมาหุ้นไทยคือเล่นแล้วยังไม่รวย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ผลตอบแทนนะ คือผมเคยเล่นที่ได้เอฟเวอร์เรจสูง พอกลับมาหุ้นไทยได้10-20%   มันน้อยไป แต่ถ้าพอร์ตยังอยู่ขนาดเล็ก-กลางก็ยังถือว่าโอเค  ผมมองว่าพอผ่านไปถึงจุดหนึ่งหุ้นได้ผลตอบแทนน้อยแต่ว่าเราต้องใช้เงินเยอะ  ผมก็เลยเล่นแบบเทคนิคอลแต่ว่าพอร์ตจะค่อนข้างกระจาย เล่นไปเป็น 10  ตัว พอผ่านไปสักปีถึง 2 ปี เอฟเวอร์เรจก็ยังไม่ค่อยดี  จากที่เคยใช้เทคนิคนำร่องก็เริ่มมาดูงบการเงินมากขึ้น ซึ่งเดิมผมไม่ค่อยรู้เรื่องงบการเงิน ก็เริ่มศึกษามีการถามผู้รู้ คนรู้จัก ไม่ได้ไปเรียนเป็นคอร์สอะไร   ก็อ่านหนังสือมีอ่านหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์  พอถึงจุดหนึ่งก็ลองใช้งูๆ  ปลาๆ ไป  โดยจะคัดหุ้นมาก่อนว่าสนใจกลุ่มไหนพอได้สัญญาณซื้อก็ซื้อตามซึ่งก็ถือว่าดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง   แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังได้ระดับหนึ่ง  ซึ่งยังเป็นภาพที่นิ่งและช้าอยู่ 
 ทำให้หลังจากนั้นผมได้มีการศึกษาเพิ่มเติมในการดูงบการเงินโดยเอาเทียบกับกิจการของตัวเอง ทำให้เริ่มคิดคนละแบบว่าพเห็นงบการเงินแบบนี้ในฐานะที่เป็นเจ้าของกิจการ รู้ว่างบการเงินแบบนี้จะเอาไปทำอะไรต่อ  และต้องบริหารอย่างไร ทำให้ผมเริ่มเอาไป Appy  กับสิ่งที่เรามี  แล้วช่วงนั้นผมก็ได้มี Visit  บริษัทของแต่ละธุรกิจพอได้สัมผัสตรงนี้ ก็เอามารวมกับประสบการณ์ของเรา ถึงตรงนี้ผมก็ใช้กราฟน้อยลง  เริ่มดูที่งบการเงินและมูลค่ากิจการ อนาคต ประมวลตั้งแต่ผู้บริหาร ทิศทางความคิด   แล้วก็เอามาผนวกกัน ดูจากกราฟนิดหน่อย 

***คุณสุทธิพจน์  มีการเล่นเป็นก๊วนมั้ย  แบบที่ต้องมีลูกขา ลูกทีม

จริงๆ  ต่างคนต่างซื้อ  อย่างเวลาที่เราคุยกันหรือไป  Visit  บริษัทหนึ่งก็จะมีการแลกเปลี่ยนว่าบริษัทฯ  นี้ดียังไง เหมือนแชร์ประสบการณ์กันมากกว่า  หรือคนอื่นมีไอเดียยังไง ซึ่งสุดแท้แต่นักลงทุนแต่ละคนที่จะตัดสินใจเอง 

***ปีไหนที่คุณสุทธิพจน์  อาวุธครบมือ ที่เรียกว่าพร้อมหมดแล้ว  

ถ้าพร้อมจริงๆ  ผมว่าน่าจะสัก 3-4 ปีที่แล้ว  ซึ่งมาจากที่ผมเรียนรู้ เรียกว่าเป็นการเรียนที่ไม่รู้จบ 

***หุ้นตัวไหนที่ทำเงินให้คุณสุทธิพจน์ หลายเด้ง แบบมหาศาล  

ที่หนักๆ  ก็จะมี TFD เมื่อสัก 2 ปีที่แล้ว แล้วก็ไทยเบฟที่เทรดที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์  แล้วก็ได้อีกสัก2-3  ตัว แต่ก็ซื้อในปริมาณที่ไม่เยอะ แต่เปอร์เซ็นต์สูง  
***ตอนนั้นถือว่าพอร์ตมั่งคั่งมหาศาลเลยหรือไม่  

ตอนนั้นเงินทุกอย่างก็ลงทุนเป็นหลักก็เริ่มเปลี่ยน  มีเงินเหลือที่จะลงทุนพอร์ตตัวอื่นๆ  ได้มากขึ้นไม่ Fix  เลย  

***ตัวเลขถึงหลัก 100  ล้านมั้ย           

เกินครับ ประมาณ 100  กว่าล้านบาท   

***สไตล์ในการลงทุนคุณสุทธิพจน์ เป็นแบบไหน 
สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือลงทุนตัวที่ถือได้นานๆ  ส่วนรายวันบางที่ไม่มีเวลาเล่น แล้วก็ไม่ค่อยเล่นด้วย ถ้าบอกว่าตีหัวเข้าบ้านคือผิดทางมากกว่า เพราะถ้าเล่นสั้น  เข้าไปไม่ใช่แบบที่เราคิดก็สละเรือดีกว่า  ถ้ามองซ้ายมองขวาไม่ใช่เเล้ว จริงๆ ถึงตรงนี้ผมเล่นตามพื้นฐานมากกว่า  แต่ว่าข่าวจะเป็นส่วนหนึ่ง  ต้องมีการประมวลผลก่อนว่ามีความเป็นไปได้หรือเปล่า  แต่ก็ต้องคัดด้วยถ้าเกิดว่าดูแล้วจะเปลี่ยนธุรกิจไปเลย แล้วเพิ่งเป็นการเริ่มต้น ลักษณะนี้ผมก็จะเลือกลงทุนเพราะว่าจะถือสะบาย  แต่เป็นแนววันนี้เปลี่ยน  พรุ่งนี้เปลี่ยน  แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น แต่ว่าผมผ่านมาแล้วก็ไม่อย่างเป็นอย่างนั้น  เพราะว่าทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาไปทำอย่างอื่น 

***ช่วงนั้นมีการลงทุนห้นนอกตลาดด้วยหรือไม่ 

มีครับ หุ้นนอกตลาดผมก็มีลงทุนตัวแรกที่ลงทุนไปก็มีแมงป่อง ( MPG)   เพราะว่ามีเพื่อนชวนไปลงทุนผมก็คิดว่าโอเค ตอนนั้นเพื่อนผมบอก3  เดือน  แต่จริงๆ ปีกว่า  
ถือว่าเป็นหุ้นนอกตลาดตัวแรกที่ลงทุน  ตอนนี้ก็มี  บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)   BLISS    ,  บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  BIG    ตัวอื่นๆ ก็ดูๆ  อยู่ครับ

***สัดส่วนพอร์ตการลงทุนของคุณสุทธิพจน์ ระหว่างบริษัทในตลาดกับบริษัทนอกตลาดเป็นอย่างไร 

ส่วนใหญ่ผมจะลงทุนบริษัทในตลาดมากกว่าครับ  ส่วนบริษัทนอกตลาดผมว่าเหมือนกับเป็นน้ำจิ้มมากกว่า ส่วนใหญ่ผมจะลงไม่เกิน 5-10%   ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด  


---โปรดติดตามภาคจบ----

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้