![]()
สัมภาษณ์พิเศษ: ก้าวต่อไปของ QLT      “สรรพัชญ์ รัตคาม”
                   แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวาย  และเศรษฐกิจภายในประเทศจะยังชะลอตัวบ้างในบางธุรกิจ แต่บอสใหญ่อย่าง  “สรรพัชญ์ รัตคาม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลลีเทค จำกัด (มหาชน) หรือ  QLT ก็ไม่หวั่น ยังคงเดินหน้า นำทัพ ดำเนินธุรกิจของ คลอลลีเทค  ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุดวางแผนเล็งขยายธุรกิจสู่ประเทศอาเซียน  ด้านธุรกิจภายในประเทศก็ไม่น้อยหน้า เร่งปรับเงินเดือนให้กับพนักงาน  เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับพนักงานให้เพียงพอกับคุณภาพการทำงาน   ขอเชิญทุกท่าน....อ่านบทสัมภาษณ์เต็มๆๆ เกี่ยวกับแผนการทำงานของ QLT  ได้เลยคะ
***วางแผนธุรกิจในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง***
     ธุรกิจของเราคือการทดสอบและตรวจรับรองสำหรับงานก่อสร้างและตรวจสอบเครื่อง จักร โรงงาน อุปกรณ์ และเครื่องจักรต่างๆ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ทำอุปกรณ์โมดุลส่งออกต่างประเทศ  ซึ่งลูกค้าหลายรายได้งานประเภทนี้  ทำให้การความต้องการในการทดสอบงานยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งเราคาดว่าตัวเราเองเราสามารถหางานในระดับที่พึงพอใจ  เพียงแต่เราเองมีปัญหาเรื่องคน  เนื่องจากคนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของเราดำเนินการต่อได้  เพราะเราไม่สามารถจะไปหาซื้อเครื่องมือมาแล้วไม่มีคน  แต่เรามีคนแต่ไม่มีเครื่องมือก็ได้ 
ปีนี้ผลประกอบการไม่ดีเหมือนปีที่ผ่านมา ปิดตัวเลขปี 56  น่าจะใกล้เคียงของปี 55 แต่กำไรไม่น่าจะดีเท่าปี 55 เพราะปี 56  มีการปรับเงินเดือน จากการที่มีผลจากการขึ้นค่าครองชีพ  ประกอบกับภาวะอุตสาหกรรมบูมมาก อุตสาหกรรมบางอย่างเติบโตผิดปกติ  พอผิดปกติสิ่งที่เขาทำคือต้องการแรงงาน และจ้างแพง  เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆทำให้เกิดการเปลี่ยนงานค่อนข้างบ่อย  เราสูญเสียคนค่อนข้างเยอะ ดังนั้นก็พยายามจะปรับเงินเดือน  ต้องค่อยเป็นค่อยไป  นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่รายได้ของจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา  แต่กำไรไม่น่าจะดีขึ้น
     ปีนี้เรายังมองเห็นภาพการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม  และความสามารถว่าจะสามารถรักษาคนไว้ได้อย่างไร  เราเป็นห่วงว่าเงินเขาจะเพียงพอไหมกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ  หากเขาไม่มีเงินเพียงพอใช้จ่าย สิ่งที่ตามมาก็คือจะทำงานไม่มีคุณภาพ  ฉะนั้นปีนี้เองก็ยังปรับเงินให้กับพนักงาน  ถ้าเรายังรักษาคนไว้ได้โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ ฐานการทำงาน  เราน่าจะพัฒนาต่อได้ ถ้าเกิดเรามีคนอยู่ 350 คน เราไม่ปรับขึ้นเงินเดือน  พนักงานก็จะลาออก เราก็หาคนใหม่ หาคนใหม่ก็ยาก  คนที่เข้ามาใหม่ก็ยังไม่มีความสามารถเท่าคนที่ออกไป งานก็ไม่มีประสิทธิภาพ  แทนที่จะได้งานที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจของเราใช้คนทำงานต้องพัฒนาและใช้เวลา  2-3 ปี ถึงจะพัฒนาได้ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำในปีนี้ คิดว่ามีผลที่ต้องทำสัก  1 ปีคือปีนี้กับปีหน้า 
***ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโตเท่าไร***
    ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 5% จากปี 56 ส่วนปี 56 ใกล้เคียงกับปี 55  เราอาจจะไม่เติบโตมาก  เนื่องจาเราปรับเงินเดือนให้กับพนักงานที่มีอยู่ประมาณ 350 คน  ที่เงินเดือนถึง 30,000 บาท
***บริษัทมีแผนกระจายความเสี่ยงอย่างไรบ้าง***
    เราเองก็พยายามดูหลายปัจจัย พยายามจะทำ แต่ยังไม่เจอ  เราเองมั่นว่าเราทำในสิ่งที่ไม่รู้จริงจะมีความเสี่ยงสูงมากกว่า  เราอยากจะไปทำในธุรกิจอื่นที่อาจจะเป็นกระจายความเสี่ยงออกไป  แต่ปัญหาคือว่าอะไรเป็นสิ่งที่เหมาะกับเรา เรายังหาไม่เจอ  ผมเชื่อว่าถ้าเราจะทำอะไรแล้ว นอกจากโอกาสแล้วเราต้องรู้  และผมก็ต้องวางใจคนที่ผมจะร่วมทุนด้วย 
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เรามีคุยมา 2-3 โปรเจ็ค แต่เราพบว่าโปรเจ็คพวกนั้นไม่ได้กระจายความเสี่ยงออกไปมากนัก 
***ปี 2558 บริษัทจะขยายธุรกิจสู่ประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนบ้างไหม***
    เรามองไว้ที่ประเทศเวียดนามกับพม่า เนื่องจาก 2  ประเทศนี้มีการพัฒนาไปแล้ว ซึ่งเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  มีการเจริญเติบโตไปแล้วอย่างประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย  เราคงไม่สามารถเข้าไปได้ แต่สิ่งที่เราเห็นคือพม่ากับเวียดนาม  เราตั้งบริษัทลูกและร่วมงานกับคนในพม่า  ซึ่งตั้งในประเทศไทยแล้วไปทำงานในพม่า เพื่อลดความเสี่ยง ตรงนี้ทำมาได้ 2-3  ปีแล้ว งานก็ยังไม่สม่ำเสมอ จบงาน 1 งานเราต้องหางานใหม่  ยังไม่เกิดความต่อเนื่องมากนัก
***คาดว่าสัดส่วนบริษัทลูกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นหรือไม่***
    คิดว่ายังไม่ขึ้น อาจต้องอีก 2-3 ปี ต้องให้อินฟราสตรัคเจอร์เขาเริ่ม  ประเทศพม่าเริ่มเปิดประเทศ สิ่งที่เขาทำคือเขามีทรัพยากร และมีสัมปทาน  พวกขุดเจาะเขาถึงจะเข้าไปทำได้ อย่างมีโรงไฟฟ้าขึ้นมา คนใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ไหน  ระดับไหน จะขายให้กับผู้บริโภคที่เป็นประชาชนรายได้ก็ยังไม่เยอะ  แต่สิ่งที่จะขาย แล้วทำกำไรคือมีอุตสาหกรรมมารองรับ หลายอย่าง ต้องรอน้ำ  รอไฟ รอถนนใช่ไหมครับ พวกนี้ต้องค่อยๆตามมา  ผมเชื่อว่าอุตสาหกรรมของผมคนจะต้องการมากก็ต่อเมื่อ 3 ปีขึ้นไป  ถ้าเรามีโรงกลั่นน้ำมัน โรงปิโตรเคมี การที่ทำในประเทศการแข่งขันก็ตามมา  ตอนที่พม่าปิดประเทศ อยู่ได้โดยมีการสนับสนุนจากประเทศสิงคโปร์และประเทศจีน  เข้ามาบุกเบิก ได้สัมปทานในการเดินท่อแก๊สจากทางภาคใต้ไปคุนหมิง  ปัจจุบันก็เดินแล้วเกือบเรียบร้อย  เมืองมัณฑะเลย์เกือบจะเป็นเหมือนเมืองจีนแห่งที่ 2   เขายึดครองเศรษฐกิจเยอะแล้ว 
***สัดส่วนรายได้ต่างประเทศเยอะหรือไม่***
    ไม่เยอะ สำหรับเราเอง สิ่งที่คิดไว้ เราไม่ได้หวังพึ่งรายได้จากตรงนั้น  เราต้องทำตรงนี้เป็นปูพื้นฐานไปก่อน ไม่คิดว่าส่งคนของเราไปทำที่นั่นประจำ  เราต้องคิดเอาคนที่นั่นมาพัฒนา ฝึกตั้งแต่เป็นวิศวกร  ไต่เต้าเป็นเติบโตขึ้น สัดส่วนของบริษัทลูกแบ่งสัดส่วน 49:51 เรา 51%  เราพยายามคุยกันนอกจากธุรกิจนี้เราทำอย่างอื่นอีกได้ไหม  ซึ่งเรายังหาจุดลงตัวไม่ได้ เขาอยากได้อะไรที่เป็นจุดชัดเจนของกำไร  แต่เรายังไม่มีเพราะยังไม่มีความัดเจนครับ
***ทำไมถึงมองการขยายธุรกิจไปที่ประเทศพม่าและเวียดนาม***
    เพราะเป็นประเทศในแง่ของการพัฒนาเรื่องของอุตสาหกรรมที่สู้เราไม่ได้  เขามีแหล่งน้ำมัน แก๊ส บรูไนก็มี แต่ไกล สำหรับ 2  ประเทศนี้เราได้เปรียบเรื่องการขนส่งเพราะอยู่ใกล้เรา
***ดำเนินการถึงไหนแล้ว***
    เรามี 2 ประเทศนี้เป็นหลัก ตอนนี้ พม่าผมก็พยายามเข้าไป  เพื่อศึกษาหาข้อมูลและมองดูโอกาสเพิ่มเติม ที่เวียดนามก็ไปมาเกือบ 2 ปีแล้ว  แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ  ตอนนี้ก็เหมือนเข้าไปศึกษาหาข้อมูลและกำลังหาพาร์ทเนอร์มากกว่า  เพราะว่าการทำธุรกิจพวกนี้ ไม่ใช่พร้อมจะเข้าไปก็เข้าไปได้เลย  ผมไม่คิดแบบนั้น  กะว่าหาคนที่คุยกันรู้เรื่องทำธุรกิจใกล้เคียงกันเข้าไปช่วยกันทำ  และพัฒนาร่วมกันมากกว่า  ผมไม่คิดว่าจะทำธุรกิจแล้วถือหุ้นใหญ่ในต่างประเทศนะ  เราไปแต่ละประเทศเราจะทำอะไร ต้องคิดว่าจะทำให้เขาเติบโตได้มากน้อยขนาดไหน 
***มองธุรกิจในประเทศปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง***
    มองว่าปีนี้ธุรกิจในประเทศยังสดใสมากสำหรับภาคอุตสาหกรรมประเภทของผม  เนื่องจากลูกค้าของเรามีโมดุลที่ตัว  เขาลงทุนซื้อโรงงานใหม่แถวสามกอล์ฟสัตหีบ เกือบพันไร่  เพราะเขาเน้นทำอุปกรณ์โมดุลในการส่งออก  ใครที่มีพื้นที่ในการทำงานที่มีพื้นที่ติดกับทะเลน้ำลึกได้เปรียบ  โมดุลคือโครงสร้างเหล็กใหญ่ๆ เขาต้องมาประกอบ เหมือนกับโรงงาน  เมื่อก่อนเราทำโรงงาน เอาท่อมาเหล็กไปวางเชื่อมที่นั่น เดี๋ยวนี้ไม่ใช่  ออกแบบให้เสร็จ เหมือนตึก โครงเหล็กมีท่อมีถึง ลากไปขึ้นแพ ยกขึ้นไป  เดินท่อ ต่อท่อ จบ นี่คือโมดุล ประเทศไทยเราทำแบบนี้เยอะ
***การเมืองกระทบต่อธุรกิจหรือไม่***
    มองว่าอาจจะกระทบครับ แต่เป็นผลกระทบระยะยาว  แต่ผมเป็นห่วงในแง่การเติบโตอุตสาหกรรมมากกว่า  คนที่มาลงทุนในประเภทอุตสาหกรรมในประเทศไทย  เดิมไทยเรามีศักยภาพที่มีต้นทุนต่ำ คนเป็นมิตร วัฒนธรรมดีมาก  ข้อได้เปรียบพวกนี้เริ่มหายไปต้นทุนเริ่มไม่ต่ำ เราไม่เกิดโครงการ 2.2  ล้านล้านบาท จุดเด่นเราหายไปนะ เรามีจุดเด่นตรงไหนอีก ไทยเราเริ่มมีจุดแปลก  ความคิด สังคม เริ่มมีการแตกแยกเยอะ 
***บริษัทเตรียมการรับมือกับการเมืองอย่างไรบ้าง***
    จัดการไม่ได้เลยครับเพราะเป็นปัญหาระยะยาว   พยายามทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และพัฒนาธุรกิจเราให้ดี  พัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง อีกสิ่งหนึ่งคือเคล็ดต่ออุตสาหกรรมของผม  คือถ้าน้ำมัน แก๊สในอ่าวไทยจะเป็นอย่างไร  ธุรกิจหลักของเราคือลงไปตรวจสอบพวกอุปกรณ์ที่อยู่ในแท่นขุดเจาะน้ำมัน  ถ้าแท่นขุดเจาะน้ำมันไม่ทำงาน เรียบร้อยแล้ว  ส่วนหนึ่งของรายได้มาจากส่วนนั้น 30-40% 
***ทำธุรกิจตรวจสอบเราลงทุนเยอะหรือไม่***
    ไม่ค่อยได้ใช้เงิน ส่วนใหญ่เราเอาไปพัฒนาคน แล้วก็ซื้อเครื่องใหม่บ้าง  เครื่องมือใหม่เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการให้บริการ  เพราะว่าจุดแข็งเราให้บริการแบบหลากหลาย One Stop service  ที่มีมาตรฐานที่ดีต้องมาหาเราโดยตรงครับ
***ไลฟ์สไตล์ วันว่างชอบทำอะไร***
    เวลาว่างนั่งเล่นดูทีวี ไม่ค่อยอ่านหนังสือแล้ว  เมื่อก่อนจะอ่านหนังสือบ้าง หาเวลาออกกำลังบ้าง พยายามหาโอกาสคุยกับลูก  ถ่ายทอดความคิด ปัญหาให้เขารู้ ให้เด็กรุ่นใหม่รับรู้ว่าเราคิดอะไรบ้าง  เพราะผมกลัวจังเลยว่าเด็กรุ่นใหม่จะรับอะไรพวกอินเตอร์ต่างๆมามาก  ผมก็ทำงานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลา คุยกับเขาก็ไม่มีเวลา เลยหาโอกาสคุยกับเขามากๆ
***การบริหารงานเป็นอย่างไร***
    ผมก็จะ 60 แล้ว พยายามจะหาคนที่จะเข้ามา แต่หายากมาก  ไม่ว่าธุรกิจไหนก็ตามที ถ้าไม่วางแผนตั้งแต่ต้นก็เริ่มยากแล้ว  ไม่อย่างนั้นต้องเอาคนข้านอกเข้ามา ตอนนี้มองไว้ 2-3 คน  อยู่ได้ด้วยทีมงานมีความสามัคคี กระจายความเสี่ยง พนักงานประสานงานกันได้ดี  นี่คือจุดแข็งของเรา
***ฝากอะไรนักลงทุน***
    สำหรับบริษัทของเรา  ธุรกิจเป็นธุรกิจที่มั่นคงเติบโตไปตามความต้องการและปลอดภัยต่อสาธารณะชน  พูดได้เต็มปากตั้งแต่ธุรกิจต้มยำกุ้ง แทบจะไม่มีผลต่อธุรกิจเรา  เราเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด  วางตำแหน่งไว้เป็นหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนกับผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอ  ที่ผ่านมาเรามีการปันผลไปประมาณ 60% จากเดิมที่วางไว้ว่าประมาณ 40%  ถ้าเรายังไม่มีการลงทุนใหม่ เราจะสามารถจ่ายได้ไม่น้อยกว่านี้ได้
---จบ---
By :มินตรา แก้วภูบาล /ธนัสสรณ์ เปี่ยมสมบูรณ์

							
							แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย อยู่ในสภาวะไม่คึกคัก ด้วย ตอนนี้ นักลงทุน อยู่ระหว่าง...
SSP หุ้นคุณภาพดี! คว้า CGR "ดีเลิศ" 5 ดาว 2 ปีซ้อน
หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้