สัมภาษณ์พิเศษ: NCL ปี 59 ฟ้าสดใส
ปี 59 ปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ หลังผ่านมรสุมแล้ว ผู้บริหารคนเก่ง "กิตติ พัวถาวรสกุล" ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ลุยธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศเต็มสูบ เดินหน้าลดต้นทุนต่อเนื่อง เผยปีนี้มีแผนจะตั้งสำนักงาน 1-2 สำนักงาน สนใจฟิลิปปินส์ เวียดนาม เชิญติดตามได้เลยค่ะ
Q : สำหรับปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
:เราก็มีผลขาดทุนตอน 9 เดือน 80 ล้าน บาท เพราะเรามีการไปลงทุนโครงการท่าเรือระนอง แต่ประสบความล้มเหลว เราอดทนแก้ปัญหามี ที่ต้องมีการตรวจค้นสินค้าเปิดตู้ เพราะลูกค้าต้องมาด้วย ซึ่งทำให้ลูกค้ายกเลิกไป แต่ท่าเรือระนองบอกเลยว่าช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางมาก และเราได้มีการไปลงทุนในบริษัท ทรานส์ออฟชอร์ โลจิสติกส์ จำกัดที่สิงคโปร์ซึ่งก็มาช่วยกันลงทุนในท่าเรือระนอง เขาก็เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี จะกึ่งๆการผูกขาดด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้เรารับรู้การขาดทุนไปด้วย และเราก็มีการโปรโมทท่าเรือ ค่าเครื่องบินทุกอย่าง ทำให้เอต้องหยุดโครงการนี้ไป แต่ถามว่าก่อนหน้านี้เรารอบคอบไหม เราคอบครอบครับ และขาดทุน 80 ล้านบาท ถือว่าคุ้มนะทำให้ทุกคนรู้จักท่าเรือระนอง เราทำเพื่อประเทศชาติ ทำให้พม่าและสิงคโปร์ได้รู้จักด้วย ส่วนปี 59 หลังจากหยุดท่าเรือท่าเรือระนอง ในส่วนธุรกิจเดิมเรามีกำไรตลอด NCL ไม่เคยมีปัญหาเลย
Q : เฉลี่ยต่อปี เรามีกำไรเท่าไหร่
เรามีกำไรประมาณ 5% ถ้า มองย้อนหลัง ถ้าเรากลับมาสู่ธุรกิจปกติเราก็มีกำไรปกติ แต่เรายังมีความมั่นใจลึกๆ ว่าอนาคตอันใกล้จะมีใครกลับมาติดต่อให้ดูท่าเรือระนองใหม่ และเราจะมีอำนาจการต่อรอง ประเทศไทยถือเป็นฮับโลจิสติกส์ ต้องบอกว่าตอนนี้ลักษณะการเดินเรือทะเลเปลี่ยนไปเรือระดับ 3-5 หมื่นตันผลการดำเนินงานขาดทุนหมด ซึ่งต้องเป็นเรือขนาด 4 แสนตัน ครับเรือใหญ่ๆ ถึงจะอยู่ได้ จะขุดช่องแคบใหญ่แค่ไหนให้เรือผ่าน จะหาพื้นที่ไหนได้ โดยเรือ 3-5หมื่น ตันจะเริ่มหายไป เพราะขาดทุน เนื่องจากค่าขนส่งทางทะเลมีการลดลง แต่ค่าใช้จ่ายคนเท่าเดิม ต้นทุนต่อตู้คอนเทนเนอร์เลยปรับตัวถูกลง ซึ่งก็เป็นผลมาจากราคาน้ำมันลงอที่ปรับตัวเลดลง ทำให้ผู้ประกอบการมีการต่อเรือใหญ่เพราะเห็นว่าคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่า ในส่วนประสิทธิภาพเครื่องยนต์ และทำให้ปัจจุบันเรือเล็กๆมาวิ่งแค่ชายฝั่งแทนผมอยากจะคุยผ่านไปทางภาครัฐ แต่โดยรวมที่เราขาดทุนไปเราถือว่าคุ้มครับ และปีนี้เราทำธุรกิจปกติก็ไม่ต้องเจอปัญหาใดครับกลับมาสู่ภาวะปกติได้
Q : ปีนี้อะไรจะเป็นเรือธงสร้างรายได้ให้บริษัทฯ
จริงๆแล้วเรือธงเราทำมาตั่งแต่เปิดบริษัทฯ ไม่ใช่แต่ปี 59 คือมูลค่าโลจิสติกส์ คิดเป็น 14 % ของจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า หลายแสนล้านบาท ผมเคยคิดออกมาเป็นมูลค่าประมาณ 1.4แสนแสนล้านบาท โดยบริษัทฯ มียอดขายประมาณปี ละ1000 ล้านบาท ยังมีเค้กก้อนใหญ่มากครับ เห็นได้จากปี 58 เรามีความมั่นใจว่ารายได้จะแตะ 1 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่ทำได้ 800- 900 ล้านบาท ฉะนั้นมันยังเติบโตได้ ทำให้ปี 59 เติบโตได้ ส่วนข้อจำกัดของ NCL คือเงิน เพราะมีเงินเท่าไหร่ก็ใช้ไม่พอ เราจะค่อยๆเติบโตตามมูลค่าคับ
Q :ปีนี้เราจะเน้นธุรกิจShipper Own Container :SOC
อัน นั้นเป็นอีกโหมดเป็นการบริหารจัดการโลจิสติกส์ โดยถือว่าใหม่มากในไทยแต่ในต่างประเทศมีมานานแล้วครับ คือก่อนหน้าเราจะจองทั้งระวางและตู้สินค้า ซึ่งจะมีการกำหนดราคาค่าระวางและตู้ แต่ตอนนี้จะจองเฉพาะระวางเรือ ตู้เราจะใช้ตู้ของเราเอง การที่ทำแบบนี้ทำให้มาร์จิ้นเราสูงขึ้น มีการจัดการตัวเราเองได้มากขึ้น แล้วเมืองนอกใช้กันเยอะมาก เพราะสามารถเก็บเองได้ ทำให้มีลูกเล่นให้เราเล่นเองได้ โดยSOC ย่อมาจาก Shipper Own Container
Q : เห็นล่าสุดเรามีการตั้งบริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์จำกัด มันต่างจาก NCL อย่างไร
คือ NCL เนี่ย ในอดีต เป็นธุรกิจบริหารจัดการเรื่องการขนส่ง แต่ตอนที่เราแปลงสภาพเป็นมหาชน เราไม่มีแอสเสทเลย ก่อนที่เราจะลงทุนหัวราก แต่ผลจะบอกว่าเทรนใหม่เช่น กูเกิลไม่มีแอสเสทแต่มีมูลค่ามหาศาลและไม่มีการแบกแอสเสท และเทรนนี้มานานแล้วที่เมืองนอกแต่ บริษัทฯเรามาเทรนนั้นเลย แต่ในไทยคนส่วนมาต้องดูว่ามีแอสเสท แต่เทรนมันปลี่ยนแล้ว แต่ เราก็มีการลงทุนแอสเสท โดยลงทุนหัวราก เลยมี เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ เข้ามาเป็นบริษัทฯ ที่มีแอสเสท และหัวรากก็จะถูกย้ายไปนั่นทั้งหมด เพื่อขยายไปธุรกิจแบบมีแอสเสทเป็นธุรกิจแบบหมุมเวียน มีวัตถุประสงค์หลากหลายรูปแบบ คือเป็นเรื่องของการขนส่งในประเทศ 100 % ซึ่งในตลาดหลักทรัพย์ก็มีหลายตัวเช่น เกียรติธนา เราก็อยากประสบความสำเร็จแบบนั้น สำหรับ เอสเอสเค แต่NCLจะมุ่งไปยังการไม่มีแอสเสท
Q : บริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ เห็นว่าเราถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50 % ส่วนทีเหลือเป็นใคร
ก็มีพันธมิตรด้วยเพิ่มเติม เป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ พร้อมจะลงทุนลงแรง ร่วมกับเรา
Q : อย่างนี้จะมาช่วยสนับสนุนรายได้เราอย่างไร
ปัจจุบันรายได้อยู่ประมาณ 15-20 % จาก 1000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 150-200 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจหัวลากนะครับ ซึ่งตอนนี้ก็ไปอยู่ใน เอสเอสเค เราคาดหวังจะเติบโตมากกว่านี้แน่นอน NCL ก็จะรับรู้รายได้ตรงนี้เข้ามาได้ด้วย ก็น่าจะเห็นรายได้ในปีนี้เลย
Q: ปีนี้ NCLมีการลงทุนใหม่เพิ่มเติมไหม
ปี ที่แล้วเรามีการลงทุนออฟฟิตสำนักงานสิงคโปร์แล้วเราก็ประสบความสำเร็จ ปีที่ผ่านมาเรามีกำไรที่สิงคโปร์ ทั้งนี้ปัจจุบันเรามีบริษัทที่ สิงคโปร์2 แห่งคือ NCL สิงคโปร์ เราถือหุ้น 100 % และเรามีทรานส์ออฟชอร์ เราถือหุ้น 22 % ก็ ล้มเหลวไปเรื่องทำท่าเรือระนอง ส่วนหนึ่งคือเรื่องการน้ำมันทรานส์ออฟชอร์มีความชำนาญในเรื่องของการขุด น้ำมัน แต่น้ำมันอย่างที่ทราบกันเลยมีการขาดทุนไป แต่ส่วนNCL สิงคโปร์ ผมจะผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างมาก ซึ่งเราอาจจะต้องมีการเพิ่มทุน ตอนนี้มีการลงทุนไป 5 แสนเหรียญสิงคโปร์ จากผลงานที่ผ่านมากำไรดี อาจจะต้องเพิ่มทุนอีกประมาน 2-3 แสนเหรียญสิงคโปร์ในส่วนของ NCL สิงคโปร์ และจะมีการผลักดันให้ขยายทั่วอาเซียน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อีกสัก 1-2 สำนักงาน ที่ต่างประเทศ
Q : ถ้าสังเกตุหุ้นโลจิสติกส์มีเยอะมาก เราต่างจากเขาอย่างไร
อย่าง WHA ดี มาก มีการลงทุนดี ในแง่โลจิสติกส์เขาเป็นเจ้าของพื้นที่ ให้พื้นที่ เขาชัดเจนในเรื่องการให้เช่าพื้นที่และมีการสร้างบิวทูสูทให้มาเช่า เป็นโมเดลที่ดีมาก ส่วน JWD เป็นพื้นที่ด้วยให้บริการด้วย ในการบริการจัดการพื้นที่ แต่ WHA ใหญ่กว่า แต่JWD ยัง ไม่ก้าวสู่การเป็นโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแต่อยู่ในประเทศและอาเซียน มีการไปลงทุนพม่า เขมร อินโดนีเซียแต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วโลก แต่WICE เป็นบริษัทที่ใกล้เคียง NCLที่สุด ครบวงจรทั่วโลกเหมือนกัน ถ้าจะเปรียบเทียบต้องเทียบกับ WICE ครับ แต่ถ้าดู 3 ปีย้อนหลังเรายอดขายกำไรมากกว่า WICEไม่นับผลกระทบท่าเรือ ระนองในปีที่แล้วนะคับ แต่ยอดขายเราโต แต่กำไรถูกฉุด
Q : เรื่องราคาหุ้น มีการประเมินกันไหมทำไมราคาหุ้นค่อนข้างเงียบ
คือ ที่ทราบกันเรามี คุณ กร ทัพพะรังสีมาเป็นประธานให้บริษัทฯเรา ท่านก็ให้นโยบายว่าทำอะไรต้องมีธรรมาภิบาล ผลก็รับไม่ได้ไปดูเรื่องหุ้น ปล่อยไปตามตลาดเลย อาจจะมีนักลงทุนที่เห็นภาพการขาดทุนท่าเรือระนองไปปีก่อน
---จบ---
แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....
FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น
ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น
NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68