Today’s NEWS FEED

เวทีความคิด

New Normal กับการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์

19,456

New Normal กับการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์


• สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้มุมมองต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์เปลี่ยนแปลงไป โดยจะเป็นทั้งปัจจัยเร่ง Disruption ที่มีอยู่แล้วเดิม และสร้าง New normal ให้กับธนาคารพาณิชย์

 

• สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมจะส่งผลกระทบรูปแบบการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ใน 4 ด้านหลัก คือ

    1. ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless payment) จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยจะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงิน

    2. การทบทวนและเปลี่ยนแปลงนโยบายเครดิต ให้สอดคล้องกับความสามารถของผู้กู้ และการชำระหนี้

    3. การบริหารจัดการต้นทุนยังเป็นสิ่งสำคัญ (Cost efficiency) ต้องมีการควบคุมค่าใช้จ่าย และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงาน 

    4. โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์การลงทุนรูปแบบใหม่ หรือ เป็นโอกาสให้ทำธุรกิจในรูปแบบ Banking as a service




ในประวัติศาสตร์ของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น เผชิญการปรับตัวครั้งใหญ่ ๆ มาแล้วหลากหลายครั้ง ซึ่งสถานการณ์โรคระบาดของไวรัส COVID-19 ก็เป็นอีกเหตุการณ์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในหลากหลายด้าน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ พฤติกรรมลูกค้า และการแข่งขัน อันทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องมีความพร้อมในการปรับตัว และสร้างกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการดำเนินงาน โดยเฉพาะเมื่อการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอย นำมาสู่พฤติกรรมและกติกาทางสังคมหลายด้านที่จะคงสภาพไว้ อาทิ มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

 

 


COVID-19 เป็นทั้งปัจจัยเร่ง Disruption ที่มีอยู่แล้วเดิม และสร้าง New Normal ให้กับภาคธนาคาร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ของธนาคารพาณิชย์ที่จะเปลี่ยนแปลงไปใน 2 มิติ หลัก ๆ จากผลของสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ในครั้งนี้ ดังนี้


1. COVID-19 เป็นตัวเร่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิม (Speed-Up Disruption) ได้แก่


• การก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด โดยการใช้ช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อ-ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ามูลค่าตลาด e-Commerce ในช่วงระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 30 เมษายน 2563 ที่มีการปิดสถานประกอบการนี้ น่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก We are social และ Hootsuite ใน Digital 2020 April Global Statshot Report ระบุว่า ผู้บริโภคใช้เวลากับการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิมในช่วง 32-53% ขณะที่การชำระเงินผ่าน Banking application, E-wallet และ QR Code มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ตามอานิสงส์ของกิจกรรมซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัสธนบัตร หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าเชื้อไวรัส COVID-19 อาจจะติดอยู่บนหน้าธนบัตรหลายวัน


• ความคุ้นชินต่อการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมการทำงาน และการเรียนหนังสือที่บ้าน (Work from Home) ที่ทำให้ต้องสื่อสารผ่านระบบและ Platform ออนไลน์ต่าง ๆ มากขึ้น เช่น การประชุมออนไลน์ผ่าน Microsoft Team, Zoom, Line หรือการสั่งอาหาร Delivery มาที่บ้าน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ปรากฎชัดเจนในกล่มคนรุ่นใหม่ และวัยทำงาน


• การแข่งขันที่รุนแรงกับผู้ให้บริการนอนแบงก์อื่นๆ หลังจากที่ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสฯ ต่างก็กระทบธุรกิจหลักถ้วนหน้า ทำให้เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ผู้ให้บริการในทุกธุรกิจคงต้องเร่งสร้างรายได้ ซึ่งจุดจับตา คงอยู่ที่ธุรกิจ e-Commerce และ Platform ซึ่งได้รับโอกาสจากยอดซื้อใหม่ ๆ และฐานลูกค้าใหม่ ๆ ในช่วงปิดเมืองหรือช่วงที่มีนโยบาย Social Distancing ที่เข้มข้น ทำให้มีข้อมูลธุรกรรมและพฤติกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงธุรกิจการเงินได้ในอนาคต อันตอกย้ำการเป็นคู่แข่งของธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญ

 


2. COVID-19 เป็นปัจจัยที่สร้างภาวะปกติใหม่ (New Normal) กล่าวคือ


• บริบทสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจที่จะเติบโตต่ำ โดยเฉพาะในช่วงปรับตัวซึ่งเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องในอีก 2-3 ปี ด้วยโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในลักษณะ U-Shaped และกระทบภาคการค้า, รายได้ธุรกิจและภาวะการจ้างงานที่ยังไม่เข้าสู่ระดับปกติ ทำให้ในระยะต่อไปงบดุลของภาคธุรกิจและครัวเรือนอยู่ในภาวะที่หนี้สูง-รายได้ไม่นิ่ง จนมีผลกระทบความสามารถในการกู้ยืมและชำระหนี้ ขณะที่ ความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากทางนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน จะมีจำกัด เพราะทุกประเทศต่างก็ใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการทำ QE ในการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วง COVID-19 แล้ว

 

 

 


• ธุรกิจต่างๆ จะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของภาคการผลิต ธุรกิจต้องเน้นประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน (Cost Efficiency) ทำให้หันมาใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยี Automation ทดแทนแรงงานมากขึ้น ขณะที่ในระยะต่อไป เมื่อเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนแรงงานต่ำลงมากแล้ว ก็คงจะเอื้อให้มีการปรับห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ให้สั้นลง และย้ายฐานการผลิตมาอยู่ใกล้ตลาดผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อประโยชน์ของความยืดหยุ่นในการปรับตัวรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็วและ Disruption ต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

• พฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ๆ โดยผู้บริโภคจะให้ความสำคัญต่อสุขภาพมากขึ้น เช่นการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกาย ขณะที่มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มทางสังคม (Individualization หรือ Isolation Economy) โดยทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ที่บ้านมากขึ้น นอกจากนี้ ในช่วง COVID-19 ผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้เริ่มมองเห็นถึงความไม่แน่นอนทางด้านรายได้ ทำให้มีแนวโน้มเริ่มวางแผนการเงินเพิ่มขึ้น รวมถึงมีพฤติกรรมการใช้เงินที่ระมัดระวังมากขึ้น เช่น การออมก่อนซื้อของคนรุ่นใหม่จะมีให้เห็นมากขึ้น

 

 

ธนาคารพาณิชย์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหลังสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ?

 

แม้ธนาคารพาณิชย์ได้เดินหน้าปรับตัวกับภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปข้างต้น อาทิ การก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และเทคโนโลยีการเงินใหม่ ๆ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ยังมีอีกหลายส่วนที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องเตรียมแผนรับมือ และเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สามารถอยู่รอดและคงบทบาทการเป็นตัวกลางทางการเงินที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจะกระทบรูปแบบการทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์ใน 4 ด้านหลัก ด้วยกัน กล่าวคือ

 

1. ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคจาก Mastercard เมื่อวันที่ 10-12 เมษายน 2563 ระบุว่า 91% ของประชากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการใช้จ่ายแบบ Contactless มากขึ้นหลังมีการระบาดของ COVID-19 ธนาคารพาณิชย์จึงควรต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบการชำระเงินให้สอดรับกับความต้องการชำระเงินในรูปแบบใหม่ดังกล่าว เช่น การออกแบบระบบ e-KYC ให้มีการตรวจสอบตัวตนผู้บริโภคในรูปแบบ Facial Recognition หรือมีรูปแบบ Card ที่เปลี่ยนเป็น Card on Mobile หรือ Virtual Card ขณะเดียวกัน ในระยะกลางถึงยาว ก็คงจะต้องเตรียมระบบรองรับโอกาสที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเร่งพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลเป็นของตัวเองรวดเร็วขึ้น เช่น ปัจจุบันในประเทศจีนที่เริ่มมีการทดสอบสกุลเงินดิจิทัลใน 4 เมืองหลักแล้ว

 


สำหรับในปี 2563 นั้น การชำระเงินผ่าน Mobile Banking คงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตามความคุ้นชินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีมาตรการ Lockdown ของรัฐบาลและนโยบายการ Work from Home ของภาคเอกชนในช่วงเดือนเมษายนต่อเนื่องถึงพฤษภาคม 2563 รวมถึงการที่ลูกค้าบางส่วนอาจยังเลือกหลีกเลี่ยงการสัมผัสเงินสด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ปริมาณธุรกรรมการชำระเงินผ่าน Mobile Banking มีโอกาสเติบโตในระดับสูงต่อเนื่อง หรือประมาณ 60-90% จากปีก่อน (% YoY) เทียบกับการเติบโตที่ 73.5% ในปี 2562 (ซึ่งแม้กรอบล่างจะต่ำกว่าปีก่อน แต่ก็เป็นผลจากฐานธุรกรรมที่ใหญ่ขึ้น) อย่างไรก็ดี มูลค่าธุรกรรมต่อครั้งในปี 2563 คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงซึ่งสะท้อนการใช้งานในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น

 

 

นอกจากนี้ คาดว่าปริมาณการติดต่อผ่านช่องทางเสริมใหม่ ๆ เช่น Call Center และ Chatbot จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงของการติดต่อเพื่อรับมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐบาล ขณะที่ช่องทางการใช้บริการ Traditional Banking อาทิ ธุรกรรมผ่านสาขา และเอทีเอ็มมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่อง

  


2. การทบทวนและเปลี่ยนแปลงนโยบายเครดิต โดยธนาคารคงต้องทบทวนนโยบายเครดิตให้สอดคล้องกับความสามารถในการกู้ยืมและชำระหนี้ของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจที่จะมีรูปแบบธุรกิจและ Supply Chain เปลี่ยนไปในระยะกลางถึงยาว ทั้งนี้ ธุรกิจที่เคยเป็นดาวเด่นในอดีต อาจมีความน่าสนใจลดลงในอนาคต เมื่อผู้บริโภคมีอำนาจซื้อลดลง และนักลงทุนต่างชาติอาจพิจารณาปรับฐานการผลิตไปสู่พื้นที่ที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือจากไทย ซึ่งจะมีผลต่อทั้งความต้องการสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต ในทางตรงกันข้าม สถานการณ์ COVID-19 สร้างความเข้มแข็งและประโยชน์ด้านข้อมูลให้กับธุรกิจ e-Commerce, Service on Demand และโลจิสติกส์ เป็นต้น ซึ่งส่งผลดีต่อความต้องการสินเชื่อ

 

 

3. การควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนของธนาคารยังคงมีความสำคัญ (Cost efficiency) โดยเหมือนดังเช่นธุรกิจอื่น ๆ ในจังหวะของการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ยังมีความจำเป็นต้องบริการจัดการต้นทุน ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากในระยะใกล้ ยังจะเห็นภาพสินเชื่อเติบโตต่ำ มีปัญหาคุณภาพหนี้ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อผนวกกับภาวะดอกเบี้ยต่ำ ก็จะกดดันความสามารถในการทำกำไร ส่งผลให้ในปีนี้แม้จะมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี แต่รายได้ที่มีแนวโน้มปรับลดลงค่อนข้างมากจะทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (Cost to income ratio) มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2563 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 46-51% เพิ่มจากปีก่อนที่อยู่ที่ 44.3% (ไม่รวมกำไรจากเงินลงทุน)

 


ขณะที่ในระยะต่อไป การแข่งขันในธุรกิจการเงินที่รุนแรงขึ้น คงทำให้การเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้วยการพัฒนาจากทรัพยากรเดิมที่มีนั้น ช้าเกินไป...ธนาคารพาณิชย์จึงอาจต้องพิจารณานำเทคโนโลยี อาทิ Automation และ AI/Machine Learning ต่าง ๆ เข้ามาช่วยจัดการในกระบวนการทำงานและยกขีดความสามารถเพิ่มเติม รวมถึงการใช้ Service จากผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญจากภายนอกมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้สามารถแข่งขันได้เร็วขึ้น ขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้น และนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

 


4. โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น การกระตุ้นพฤติกรรมการใช้เงินที่ระมัดระวังมากขึ้นของลูกค้า ด้วยการออกผลิตภัณฑ์การออม ลงทุน และประกันที่เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงปรับเงื่อนไขราคาของผลิตภัณฑ์ให้สนับสนุนพฤติกรรมการออมเหล่านั้น

 

 

นอกจากนี้ เนื่องจากภาคธุรกิจจริงเองก็ต้องมีการแข่งขันและปรับตัวที่รวดเร็วเช่นกัน จึงอาจทำให้มีความต้องการใช้บริการด้านการเงิน หรือทรัพยากรที่ธนาคารพาณิชย์มีเป็นตัวช่วยทางธุรกิจ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับการทำธุรกิจธนาคารในรูปแบบ Banking as a service (BaaS) ซึ่งมีการนำเทคโนโลยี API เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมการเงิน โดยตัดเฉพาะขั้นตอน หรือบริการทางการเงินที่ลูกค้าและ/หรือพันธมิตรต้องการใช้งาน เพื่อแลกกับค่าธรรมเนียมหรือข้อมูลธุรกรรม เช่น Customer KYC, การชำระเงิน, ระบบพิจารณาเครดิต เป็นต้น

 

 

ทั้งนี้ แม้ว่ารายได้จากโอกาสทางธุรกิจเหล่านี้ จะยังน้อยและคงยากจะทดแทนธุรกิจหลักได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่สถานการณ์ COVID-19 มอบให้ ในการใช้จังหวะนี้ร่วมมือกับลูกค้าและ/หรือพันธมิตรในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ โดยทำในสิ่งที่แต่ละฝ่ายถนัด เพื่อให้ธนาคารสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ รวมถึงรายได้ใหม่ ๆ รวมถึงปรับตัวพร้อมรับกับคู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น

 

 

 

โดยสรุป

สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในครั้งนี้ ได้เข้ามาเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ให้ปรากฎรวดเร็วขึ้น รวมถึงสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ทั้งในมิติของพฤติกรรมผู้บริโภค เศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ และการแข่งขัน ส่งผลตามมาให้การทำธุรกิจในลักษณะเดิม (Traditional Banking) ได้รับผลกระทบ ทั้งลูกค้ากลุ่มเดิม และช่องทางดั้งเดิมอย่างเช่นสาขาและเอทีเอ็ม

 

 


ดังนั้น เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ยังคงแข่งขันได้ภายใต้บริบทที่แตกต่างออกไปนี้ รวมถึงสอดรับกับกระแสพฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ธนาคารพาณิชย์คงต้องเริ่มทบทวนนโยบายเครดิตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธุรกิจใหม่ นอกจากนี้ ยังต้องเร่งพัฒนาธุรกรรมการเงินในรูปแบบที่สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของลูกค้า อาทิ ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ ๆ ในการใช้บริการธนาคาร รวมถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอนาคต อาทิ ผลิตภัณฑ์การออมที่มีเงื่อนไขตอบรับกระแสการใช้เงินที่ระมัดระวังขึ้น หรือแนวทางการสร้างรายได้จากบริการทางการเงินเฉพาะส่วนหรือเฉพาะกระบวนการที่ลูกค้าภาคธุรกิจต้องการ (Banking as a service) เพื่อสร้างรายได้ใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากการควบคุมและบริการจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

Thailand Focus By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ วันแรก งานThailand Focus 2025 เช้าวันนี้ หุ้นไทยบวก 5.22 จุด บ่ายวันนี้ ...

PTG มุ่งมั่นปลูกฝัง DNA ความยั่งยืน ได้รับเกียรติบัตร "โครงการ ESG DNA" จากตลาดหลักทรัพย์ฯ

PTG มุ่งมั่นปลูกฝัง DNA ความยั่งยืน ได้รับเกียรติบัตร "โครงการ ESG DNA" จากตลาดหลักทรัพย์ฯ

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้