
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (28 ธันวาคม 2561)
ปี 2561 ถือเป็นปีที่ต้องบอกเลยว่า ดัชนี SET มีความผันผวนเป็นที่สุด จนต้องเรียกว่าเป็น ดัชนีต้นดีปลายร้าย เลยก็ว่าได้ เนื่องด้วยช่วงต้นปี ยังพอมีความหวังว่าจะเป็นปีหมานำโชค โดยดัชนี SET เฟื้องฟูที่สุดปรับขึ้นไปทะลุ 1,800 จุด จนบรรดานักพยากรณ์หุ้นหลายค่ายถึงกับต้องทำนายเลยว่าสิ้นปีจะสามารถแตะ 1,900 จุด อย่างแน่นอน แต่พอมากลางปี สิ่งที่เกิดขึ้น กลับไม่เป็นเหมือนสิ่งที่หวัง เพราะดัชนี SET โดนถล่มยับ
จากปีหมานำโชคจนต้องเป็นปีหมาขาหัก เพราะโดนทุบตีจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างจีน - สหรัฐ หรือจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก งานนี้เลยส่งท้ายปีกันแบบไม่ค่อยสวยกันสักเท่าไหร่ 'สิ่งที่สร้างกันมา เหมือนต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง' แต่ปีหน้าฟ้าใหม่ ถือว่ายังมีความหวังว่าดัชนี SET จะมีแรงลุกขึ้นเดินต่ออีกครั้ง โดย 2 นักพยาการณ์จาก ค่ายเสือเหลืองอย่าง เมย์แบงก์ กิมเอง และค่ายทรีนีตี้ ก็ออกมามองว่ามันจะดีขึ้น ปรับขึ้นไปเหนือ 1,700 ได้อีกครั้ง และจะกลายเป็นปีหมูทองคำ ไม่ใช่ปีหมูโดนเชือด อย่างแน่นอน
** เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มอง เป้าหมาย SET Index ปีหน้าที่ 1,743 จุด ลุ้นครึ่งปีหลัง Flow ไหลเข้าอีกครั้ง **
นายสรพล วีระเมธีกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงบทสรุปการลงทุนของปี 2018 และมุมมองปี 2019 ว่า ปีที่ผ่านมาถือเป็นการลงทุนที่ผิดคาดจากเมื่อต้นปีอย่างมากโดย MSCI World Index ลดลง 11.5%, MSCI Asia Pacific Ex-Japan ลดลง 17.2%
SET Index ปรับตัวลงประมาณ 200 จุด หรือคิดเป็น 12% และหากอิงข้อมูลจาก Bloomberg ณ.วันที่ 28 ธ.ค. พบว่าในปีนี้มีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลงมากกว่า 438ตัว (คิดเป็น 74%) และหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมีเพียง 147 ตัว ในขณะที่ 10 หุ้น กดดันดัชนีมากที่สุดได้แก่ KBANK, CPALL, TOP, BJC, CBG, MINT, CPN, PTTGC, BEAUTY, ADVANC และ 10 หุ้น ที่ผลักดันดัชนีสูงสุดได้แก่ PTT, PTTEP, BDMS, GULF,BEM, KTC, HMPRO, MTC, EGCO, AEONTS
สาเหตุหนีไม่พ้นปัญหาการเมืองโลกระหว่าง สหรัฐอเมริกาและจีน ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี IT, AI และนโยบายหลักระหว่าง America First กับ Made in China 2025 ส่งผลให้ Trump ริเริ่มนโยบายสงครามการค้าเพื่อเป็นข้อต่อรองให้จีนยอมปฎิบัติตามข้อเรียกร้องต่างๆ ซึ่งฝ่ายจีนเองก็ยังไม่มีท่าทีเห็นด้วย ทำให้การเจรจา 4-5 ครั้ง ตลอดปีที่ผ่านมายังไม่ได้ข้อสรุป และจบปีด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าวงเงินรวมสูงกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ประเด็นดังกล่าวแบ่งผลกระทบเป็น
1) ดอลลาร์ที่แข็งค่าจากต้นปี (นักวิเคราะห์เชื่อว่าสหรัฐจะสามารถลดยอดขาดดุลการค้า จากการเริ่มทำสงครามการค้า) ส่งผลให้หลายสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าในอัตราเร่งโดยเฉพาะ Lira, Peso, Rupiah ทำให้เห็นเม็ดเงินไหลออกจากกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างมาก ส่งผลให้จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเม็ดเงินไหลออก (ตุรกีปรับขึ้น 625bps เป็น 24%, อินโดนีเซียปรับขึ้น 175bps เป็น 6%) ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงในเชิงโครงสร้าง
2) ผู้ประกอบการทั่วโลกกังวลและชะลอการผลิต (ยกเลิกการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ, ไม่กล้าที่จะขยายฐานผลิต) กระทบห่วงโซ่วัตถุดิบทั่วโลก เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เมื่อต้นปี ล่าสุด IMF และ World bank ปรับประมาณการณ์ GDP โลกจาก 3.9% เหลือ 3.7% และเริ่มเห็นการชะลอตัวของหลายตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ PMI โดยประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงเมื่อเทียบกับ GDP และประเภทของสินค้าส่งออกส่วนมากอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (ส่งออกวัตถุดิบไปยังประเทศจีน เพื่อประกอบและส่งต่อไปยังสหรัฐและอื่นๆ) หนึ่งในนั่นคือประเทศไทยจะได้รับผลกระทบสูง ซึ่งเริ่มเห็นแล้วในเดือนที่ผ่านมาที่ไทยส่งออกไปประเทศจีนลดลง 9%
3) ราคาน้ำมันดิบ ถูกกดดันทั้งจากฝั่งอุปสงค์และอุปทาน โดยเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา IMF ปรับประมาณการ GDP สหรัฐและจีนลงเหลือ 2.5% และ 6.2% ตามลำดับ ส่งผลให้เกิดความกังวลอุปสงค์น้ำมันปีหน้าจะเติบโตต่ำกว่าประมาณการเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน (สหรัฐและจีนบริโภคน้ำมันรวมกันเป็นสัดส่วนสูงกว่า 30%) ในขณะที่ด้านฝั่งอุปทานก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเราพบว่าหลายประเทศยังคงเดินหน้าผลิตน้ำมันในระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่องนำโดย OPEC ที่ผลิตสูงถึง 33ล้านบาร์เรล (ซาอุดิอาระเบียผลิตเพิ่มเป็น 10.9ล้านบาร์เรล) ลิเบียเพิ่มกำลังการผลิต 150%จากเดือนมิถุนายน เป็น 1.28 ล้าน ในขณะที่สหรัฐก็เพิ่มกำลังการผลิตสูงถึง 11.7 ล้าน เป็นเหตุให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงมากกว่า 35% QTD กดดัน SET (หุ้นกลุ่มพลังงานคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 25% ของมูลค่าหลักทรัพย์)
และอีกหนึ่งปัจจัยได้แก่ “การออกกฎหมายจากภาครัฐ” ทั้งเป็นบวกและลบต่อบริษัทจดทะเบียน โดยในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้เข้ามามีบทบาทต่อหลายอุตสาหกรรมซึ่งมีทั้งเชิงบวก เช่นผ่อนค่าใช้จ่าย TV-Digital, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก อย่างไรก็ตามมีหลายนโยบายที่ออกมาและกำลังจะเตรียมออก ซึ่งคาดส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัท เช่น พรบ.จัดซื้อจัดจ้าง, ปรับสูตรคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นและราคาขายปลีก, ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและการคุมสินเชื่อกลุ่มอสังหา (LTV) ล่าสุดเตรียมนำราคายาและค่ารักษาพยาบาลเป็นสินค้าควบคุม และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญมากนั่นคือ แนวทางผลประโยชน์ทางภาษี LTF หลังครบกำหนดปลายปีหน้า โดยปัจัยที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด เป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้ SET Index ปีนี้ปรับตัวลงมากถึง 12 %
สำหรับมุมมองการลงทุนปี 2019 เราประเมินว่าตลาดหุ้นโลก, VIX Index , Bond yield , Dollar และราคาทองคำ ได้ปรับตัวสะท้อนความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปแล้วบางส่วน แต่ยังไม่หมด และคาดว่าความกังวลจะยังกดดันตลาดหุ้นต่อไปจนถึงเดือนก.พ. (กำหนด Hard Deadlind เจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ในวันที่ 1 มีนาคม) ในขณะเดียวกันเราประเมินว่าสหรัฐกำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก หรือเรียกว่า “เดินข้างหน้าก็ระแวง ด้านหลังก็กลัวถูกแทง“ กล่าวคือ 1) หากเลือกที่จะเจรจาการค้ากับจีน มีโอกาสสูงที่ยอดขาดดุลการค้าทำระดับสูงสุดต่อเนื่อง (ปัจจุบันเริ่มเพิ่มวงเงินภาษี ยังขาดดุลสูงสุดในรอบ 10ปี) และ 2) หากไม่เจรจาการค้าก็จะส่งผลกดดันเศรษฐกิจโลกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในขณะที่”ด้านหลัง” อย่างพรรค Democrat ซึ่งภายหลังสามารถครองคะแนนเสียงส่วนมากในสภาล่างได้ ก็เริ่มกดดัน Trump ทั้ง
1) การไล่สอบสวนคดีต่างๆตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งย้อนหลัง ล่าสุด Michael Cohen อดีตทนายความคนสนิท Trump ยอมสารภาพถึงการช่วยเหลือ Trump ยิ่งเป็นการเปิดทางให้ Democrat มีหลักฐานเพิ่มในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
2) การโหวตไม่เห็นชอบต่อนโยบายต่างๆ และในปี 2019 กำไรตลาดหุ้นจะเติบโตในอัตราที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจากผลของภาษี ทำให้อาจเห็นดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าได้ ประกอบกับการหยุด QE และขึ้นดอกเบี้ยของยุโรป สวนทางเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว อาจเป็นจุดเริ่มต้นปัญหาเชิงโครงสร้างต่อยุโรปในปีหน้าได้ ปัจจัยที่กล่าวมาทำให้เราประเมินว่าในช่วง 2H19 อาจเห็นเม็ดเงินเริ่มทยอยไหลกลับภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง
**ทรีนีตี้ ประเมินเป้าหมายของ SET Index ปี 19 ที่ระดับ 1760 จุด อิงระดับ Forward PE 14 เท่า และระดับ EPS คาดการณ์ปี 2020 ที่ 126 บาท**
บจ. หลักทรัพย์ทรีนีตี้ ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า วันทำการสุดท้ายของปี 2018 กำลังจะผ่านพ้นไป ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นปีที่ยากสำหรับการลงทุน แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการปรับลดลงของ SET Index ในปีนี้ที่ 11-12% นั้น จริงๆแล้วน้อยกว่าการปรับลงในปี 2015 ที่ 14% เสียด้วยซ้ำ ซึ่งหากย้อนไปดูเหตุการณ์ในปี 2015 จะพบว่าปัจจัยกดดันที่เกิดขึ้นนั้นคล้ายคลึงกับปี 2018 นี้มาก ไม่ว่าจะเป็น
1) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงมาเหลือ 30 เหรียญฯ
2) เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว
3) การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นครั้งแรก
สำหรับปี 2018 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกที่สำคัญ ได้แก่
1) สงครามการค้า
2) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสืบเนื่องมากจากแนวนโยบายของ Fed
3) การปรับตัวลงของราคาน้ำมัน เราประเมินว่าทั้ง 3 ปัจจัยนี้มีโอกาสสูงที่จะคลี่คลายลง และกลายมาเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปี 2019 ได้ กล่าวคือ
---------------------
1) ปัจจัยสงครามการค้า: เรามองว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้นในระยะหลังจากทั้งจีนและสหรัฐฯ โดยทั้ง 2 ประเทศอาจมีการเจรจากันอย่างเร็วที่สุดในช่วงต้นปีหน้านี้ นอกจากนั้นในแง่ของการเมือง พรรคเดโมแครตจะก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นในการบริหารงานในปีหน้า จากการครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ซึ่งจะทำให้การออกกฎหมายที่ Aggressive ต่างๆของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นไปได้ยากมากขึ้นและถึงแม้ในท้ายที่สุดสหรัฐฯจะมีการเก็บภาษีจากจีนเพิ่มเติมจริง ก็มองว่าในแง่ของผลกระทบต่อตลาดทุนนั้น ก็คงจะไม่รุนแรงเท่ากับปีนี้แล้วเนื่องจากเป็นปัจจัยที่อยู่ในราคาไปพอสมควรแล้วเช่นกันคล้ายๆกับกรณีการลดภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ตอบรับเชิงบวกไปก่อนหน้า ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการลดภาษีจริงเสียอีก
2) ปัจจัยเงินดอลลาร์ฯ: มองเงินดอลลาร์มีโอกาสลดการแข็งค่าหรือกลับมาอ่อนค่าได้ในปี 2019 เนื่องจากสหรัฐฯจะมีการขาดดุลแฝดที่มากขึ้น พร้อมทั้งแนวนโยบายของ Fed ที่จะเริ่มมีความเข้มงวดลดลงโดยเราประเมินว่า Fed จะมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากสุดเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
3) ปัจจัยราคาน้ำมัน: ซึ่งต้องบอกว่าการปรับตัวลงในรอบนี้เกิดจากอานุภาพของตราสารการเงินในตลาด Futures เป็นสำคัญ มองระดับปัจจุบันเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำแล้วในเชิงพื้นฐาน และจะช่วยลดแรงจูงใจในการผลิตสำหรับผู้ผลิตน้ำมันใหม่ๆในช่วงถัดไป ส่วนปัจจัยสนับสนุนที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า ได้แก่ การลดกำลังการผลิตร่วมกันของกลุ่ม OPEC+ ที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถ้าหากไม่เพียงพอที่จะทำให้ราคาน้ำมันกลับเข้าสู่สมดุล ก็คาดว่าจะมีการลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก รวมถึงการลดปริมาณการส่งออกน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย
อย่างไรก็ตามได้ประเมินเป้าหมายของ SET Index ปี 2019 ที่ระดับ 1760 จุด อิงระดับ Forward PE 14 เท่า และระดับ EPS คาดการณ์ปี 2020 ที่ 126 บาท ซึ่ง Imply Upside จากระดับดัชนีปัจจุบันกว่า 13.5% เทียบกับระดับ Worst case ที่เราประเมินที่ 1500 จุด (Forward PE 13 เท่า และ EPS คาดการณ์ปี 2019 ที่ 116 บาท) ต้องบอกว่ามีระดับ Risk/reward ที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนแล้ว แนะนำนักลงทุนโฟกัสกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่จ่ายเงินปันผลสูงในดัชนี SETHD ในช่วง 4 เดือนแรกของปีหน้า ซึ่งเราคาดว่าจะกลับมาเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง