
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(14 ธันวาคม 2561)
INGRS โชว์รายได้ไตรมาส 3 ปี 2018 เติบโต 12.3% เป็น 912.56 ล้านบาท แถมกำไรสุทธิเติบโต 161% คาดครึ่งปีหลังผลักดันผลงานเติบโตตามเป้า พร้อมจ่ายปันผลทันที 0.026 บาทต่อหุ้น แย้มอยู่ระหว่างเตรียมประมูลงานใหญ่ มูลค่าสูงหลายโครงการ คาดทยอยทราบผลปี 62 เผยเตรียมรุกธุรกิจในอินเดียเต็มที่ เล็งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ - ขยายฐานลูกค้า เพิ่ม ฟากโบรกฯ แนะนำ 'ถือ' พร้อม ให้ราคาเป้าหมาย 1 บาท
นายฮามิดี บิน เมาลอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ INGRS เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 ปี 2561 บริษัทฯมีรายได้รวม 912.56 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.3%จากรายได้รวม 812.41 ล้านบาทในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และบริษัทฯมีกำไรสุทธิ 26.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,458% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 1.35 ล้านบาทใน ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 161% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ13.15 ล้านบาทใน ไตรมาส 3 ของปีก่อนโดยรายได้รวมของบริษัทฯ เป็นรายได้จากบริษัทย่อยในประเทศไทยประมาณ 32.54% รายได้จากบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซียประมาณ 55.25% รายได้จากบริษัทย่อยในประเทศอินเดียประมาณ 5.83% และรายได้จากบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซียประมาณ 6.38%
สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2018 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,378.27ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวม 2,148.47 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 48.35 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 104.36 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ที่ลดลงจากบริษัทฯย่อยในมาเลเซีย ค่าใช้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นและผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
นายฮามิดี บิน เมาลอด กล่าวเสริมว่า “ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.026 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 37,620,509.94 บาทโดยจะกำหนดวันปิดทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 มกราคม 2562 ปัจจุบันธุรกิจของบริษัท มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยบริษัทฯได้เซ็นสัญญารับออเดอร์ใหม่เพื่อผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ให้กับผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง และในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯมีการเริ่มผลิตชิ้นส่วนรถยนต์โครงการใหม่หลายโครงการในประเทศไทย อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะ ช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทฯให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยบริษัทใช้งบลงทุนในปีนี้ทั้งสิ้นประมาณ 540 ล้านบาท
อีกทั้ง บริษัทฯ กำลังเสนองานใหม่อีกหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เป็นโครงการระดับโลกซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงกว่าโครงการทั่วไป เนื่องจากแต่ละโครงการจะมีการผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานในหลายประเทศ โดยบริษัทฯคาดว่าจะทยอยทราบผลการประมูลภายในปี 2019
สำหรับประเทศมาเลเซีย บริษัทฯ คาดว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ปี 2019 คาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น และ มีแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจนขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการของกลุ่มโปรตอน และการสนับสนุนจากภาครัฐที่น่าจะมากขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ คาดว่ายอดการผลิตชิ้นส่วนให้กลุ่มโปรตอนซึ่งเป็น 1 ในลูกค้าหลัก จะเพิ่มมากขึ้นและเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งเมื่อรวมกับการผลิตชิ้นส่วนโครงการใหม่ๆให้กลุ่มเพอโรดัว จะทำให้บริษัทฯย่อยในมาเลเซียมีรายได้ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ INGRS วางแผนที่จะขยายธุรกิจในประเทศอินเดียอย่างเต็มที่ โดยบริษัทฯจะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ตลอดจนขยายฐานลูกค้าผลิตรถยนต์รายใหม่ๆเพิ่มเติม เนื่องจากอินเดียมีอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีการผลิตรถยนต์ปีละ 4 ล้านคัน และยังเติบโตสูงสุดถึง 14.3% จากปีก่อน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า เราคงแนะนำ ถือ และได้ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับราคาพาร์ 1 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่าราคาพาร์ 1 บาท และ ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 1.2 บาท แต่ก็ซื้อขาย P/E ที่สูง 16.1 เท่า
INGRS ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3Q61/62 (งวด ส.ค.-ต.ค. 2561) มีกำไรที่ฟื้นตัวดีขึ้น 27 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนและปีก่อนที่มีกำไรเพียง 1 ล้านบาท และ 5 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ถ้าหากตัดรายการพิเศษกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ ตีราคาอสังหาริมทรัพย์รวม 14 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเพียง 12 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เด่น ดีขึ้นจากปีก่อน และ ไตรมาสก่อนที่มีกำไรปกติ 4 ล้านบาท และ 5 ล้านบาท ตามลำดับ ผลประกอบการที่ดีขึ้นได้แรงหนุนจากยอดขายชิ้นส่วนรถยนต์ที่เติบโต 913 ล้านบาท (+21%QoQ, +12%YoY) จากการเติบโตของบริษัทย่อยในอินเดีย รวมถึงบริษัทในมาเลเซีย และ อินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเหลือ 17.9% เทียบกับ 21.2% ในไตรมาสก่อน และ 19.3% ในปีก่อน
INGRS มีปริมาณงานที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 4 พันล้านบาท รองรับการรับรู้รายได้ 5 ปี และ ในครึ่งปีหลังนี้ INGRS มีการเริ่มผลิตชิ้นส่วนรถยนต์โครงการใหม่หลายโครงการในไทย อินเดีย และอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ จึงคาดจะช่วยผลักดันยอดขายฟื้นตัวดีขึ้น INGRS ประเมินว่ายอดขายในมาเลเซียมีพัฒนาในด้านบวกหลังจากการควบรวมกิจการของกลุ่มโปรตอน และการสนับสนุนจากภาครัฐที่น่าจะมากขึ้น ดังนั้น INGRS จึงประเมินยอดการผลิตชิ้นส่วนให้กลุ่มโปรตอนซึ่งเป็น 1 ในลูกค้าหลักจะปรับเพิ่มขึ้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเมื่อรวมกับการผลิตชิ้นส่วนโครงการใหม่ให้กลุ่มเพอโรดัว จะทำให้บริษัทย่อยในมาเลเซียมีรายได้ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในอนาคต จากรายการพิเศษเราปรับประมาณการกำไรปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 49 ล้านบาท (จากเดิม 39 ล้านบาท) แต่ยังติดลบจากปีก่อน 50% ส่วนปีหน้าคาดกำไรจะดีขึ้นจากปีนี้ 63 ล้านบาท เติบโต 29% แต่ฐานกำไรจะยังต่ำ
ขณะที่ความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจ มองว่าเป็นการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ การพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ คือ Perodua 38.5% และ Proton 15% ต้นทุนวัตถุดิบ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
อนึ่ง บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) (INGRS)
---จบ-----