
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(26 ตุลาคม 2561)
นายกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ มั่นใจ ตลาดหุ้นไทยไม่หลุด 1,580 จุดมองตลาดเป็นขาขึ้นถึงปีหน้า เหตุสภาพคล่องบานตะเกียงหนุน ด้านสภาธุรกิจตลาดทุน แย้มอยู่ระหว่างศึกษาตั้งกองทุนรูปแบบใหม่ หลังรัฐฯไม่ต่อ LTF คาดชัดเจนภายในรัฐบาลชุดใหม่

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยในงาน Hot Issue : Market update ว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้ถือว่าปีนี้เป็นปีที่แย่มาก โดยตลาดหุ้นหลายแห่งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีท่าทีทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับ การยื่นงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาบอิตาลียังคงถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่อังกฤษเตรียมตัวออกจากสหภาพยุโรป(Brexit) แบบไม่มีข้อตกลง รวมถึงค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ยังคงมีความผันผวน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Sentiment ของตลาดฯโดยรวมยังไม่ดีนัก แต่มองว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อคือ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ยังคงส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้และในปีหน้าอีก 2-3 ครั้ง แม้ปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะมีความรุนแรงอยู่ก็ตาม ซึ่งนักลงทุนมีความกังวลว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯชะลอตัวลง
ขณะเดียวกัน ในปี 2561 ตลาดเกิดใหม่ (emergin market) และตลาดพัฒนาแล้ว (Deverlop Market) รวมกัน 45 ตลาดฯ ได้ปรับตัวลดลงเข้าสู่ตลาดหมี (Bear Market) กว่า 40 ตลาดฯ " ใน 45 ตลาดฯ ปีนี้ ลดลงไปกว่า 40 ตลาดฯ แต่ที่เหลือก็ขึ้นเพียงแค่ 1% เท่านั้น โดย ปี2561 ทั้งปีของไทยลดลง 6% ถือว่ายังน้อย ซึ่งลดลงใกล้เคียงกับตลาดพัฒนาแล้วที่ลงไป 5% ขณะที่อิมเมอร์จินมาร์เก็ต ลดไปกว่า 18% ตลาดเอเชียรวมกัน ลด 19% เช่น จีน ลด 21% , ฟิลิปปินส์ ลด 19% , เกาหลีใต้ ลด 16% และฮ่องกง ลด 17% ดังนั้น ไทยถือว่าจัดอยู่ในกลุ่ม out perform อยู่ เพราะ พื้นฐานบริษัทจดทะเบียนยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและเศรษฐกิจภายในประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยระดับเงินเฟ้อที่ต่ำ และเงินสำรองในประเทศยังสูง รวมถึงบ้านเรามีส่วนเกี่ยวข้องที่จะได้รับผลกระทบกับสงครามการค้าน้อยมาก " นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแรงในครั้งนี้ เป็นเพียงการลงตาม Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น และ หากมีปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเข้ามาตลาดฯจะสามารถเกิดการเด้งกลับได้ ขณะเดียวกัน มองว่าการที่เงินต่างชาติไหลออกจำนวนมาก ซึ่งขายสุทธิถึง 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติใหม่นั้น เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ที่ไหลเข้ามาเป็นเงินลงทุนระยะสั้นที่เล่นตามดัชนี รวมถึงกลุ่มที่ใช้โปรแกรมเทรด ซึ่งช่วงที่ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงจึงมีแรงขายออกมามากกว่าปกติ "ที่ต่างชาติขายเยอะเพราะเงินที่ไหลเข้ามาเป็นเงินระยะสั้นของกองทุนที่เล่นตาม INDEX ถ้า INDEX ลงเงินก็ไหลออก รวมถึงไทยยังมีกองทุนระยะยาวที่เข้ามาช่วยหนุนน้อยอยู่ " นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับปัจจัย ที่ต้องติดตามคือ ท่าทีการขึ้นดอกเบี้ย ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และติดตามเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะเข้าสู่ช่วงชะลอตัวเมื่อไหร่ รวมถึงเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสมากน้อยเพียใดที่ชะลอตัวอย่างรุนแรง รวมถึงท่าทีของประธานาธิปบดีโดนัลล์ ทรัปม์ หลังกิดการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
ในส่วนของกรณีที่ทางรัฐบาลจะไม่ต่ออายุกองทุน LTF นั้น ขณะนี้สภาตลาดทุนกำลังอยู่ในระหว่างศึกษากองทุนรูปแบบใหม่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทดแทนกองทุน LTF ที่จะหมดอายุในสิ้นปี 2562 นั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยกองทุนใหม่นี้จะเน้นสร้างเงินออมระยะยาวให้แก่คนไทยตอนเกษียณ รวมถึงทำให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ มีโอกาสเข้าลงทุนได้ด้วย
ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ยังคงมั่นใจดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุดแนวรับสำคัญที่ 1,580 จุด และเชื่อว่าสิ้นปี2561 จนถึงปี2562 ตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจาก ปัจจุบันประเทศไทยยังมีสภาพคล่องอยู่มาก และมี P/E เพียง 15 เท่า ถือว่าต่ำมาก และมองว่าขณะนี้ตลาดฯได้อยู่จุดขายมากเกินไป( Over Sold )แล้ว รวมถึงพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนภายในประเทศยังคงมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามาช่วยหนุนได้ โดยมองว่า 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะทำให้ตลาดฯกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนในลักษณะทยอยสะสมหุ้น ซึ่งเชื่อว่าดัชนีฯจะสามาถรฟื้นตัวได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
-------------------------------------------------------------------------------------
ด้านบล.ไทยพาณิชย์ คงเป้า SET index สิ้นปีนี้ 1,900 จุด - ประเมินปี 2562 นิวไฮ 2,000 จุด รับ Sentiment เลือกตั้งหนุน
.jpg)
นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ 1,900 จุด และได้ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2562 จะอยู่ที่ 2,000 จุด บนP/E ที่ 15.6 เท่า เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้รับ sentiment เชิงบวกจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าและกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดฯที่มีการเติบโตประมาณ 7-10% ใกล้เคียงกับปีนี้ อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังดี และภาพรวมเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มียอดสะสมในระดับที่สูง
"เรายังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,900 จุดแต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เราคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีน่าจะไม่ต่ำกว่าระดับ 1,800 จุด เพราะมีปัจจัยบวกที่เข้ามาหนุน จากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศของเรายังดี แต่เป้า 1,900 จุด ฝ่ายวิจัยเราประเมินว่า ถ้ามีการเลื่อนอย่างช้าจะไปในช่วงก่อนการเลือกตั้งประมาณ 1 เดือน และปีหน้าเราตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 จุด " นายพรเทพ กล่าว
นายพรเทพ กล่าวว่า สำหรับการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะกำลังจะหมดอายุในช่วงปลายปี 2562 มองว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเล็กน้อย เนื่องจากจะมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นราว 7 หมื่นล้านบาท จากผู้ที่ที่ถือLTF และครบกำหนดอายุในช่วงปี 2562 ซึ่งมีเม็ดเงินของกองทุนLTF รวมกว่า 400,000 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่าบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อาจจะมีการออกกองทุนใหม่มาเพื่อรองรับเม็ดเงินที่จะไหลออก ถ้าหากว่ามีการยกเลิกกองทุน LTF สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ยังคงแนะนำให้จับตาปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังคงมีความผันผวน อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา - จีน ความไม่แน่นอนข้อตกลง BREXIT หลังการประชุมครั้งล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งกระแสข่าวในอังกฤษที่แสดงถึงความขัดแย้งของพรรคการเมืองใหญ่ ต่อประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม EU กับอังกฤษในช่วงหลังBREXIT
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการที่นักลงทุนความกังวลต่อร่างงบประมาณปี 2562 ของอิตาลี โดยรัฐบาลอิตาลีต้องการเพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณสู่ระดับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี2562 ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก EU และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเพดานหนี้ของอิตาลีให้สูงขึ้น กดดันให้ Bond Yield ของอิตาลีดีดตัวขึ้นแรง ส่งผลต่อ Credit Risk ของหลายบริษัทเนื่องจากต้นทุนทางการเงินในตลาดการเงินสูงขึ้น
ส่วนปัจจัยในประเทศ ยังได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ภาพรวมออกมาค่อนข้างดี ตามการรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยด้านกลยุทธ์ในการลงทุน บริษัทฯยังคงให้น้ำหนักในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่อาจจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย เช่น ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นจีน แต่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และธนาคาร
เนื่องจากหุ้นทั้งสองกลุ่มจะได้รับอานิสงค์จากการลงทุนขาขึ้นนี้เองจะกระตุ้นให้ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้ ประกอบกับความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นซึ่งเมื่อรวมกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นก็จะหนุนให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับเพิ่มขึ้นด้วยและส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์โดยหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA , บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะจำกัด (มหาชน) หรือ ROJNAและกลุ่มธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ,ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือKTB และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB