Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : ส.นักวิเคราะห์ฯ มั่นใจ SET ไม่หลุด 1,580 จุด / SCBS ทำนายปี 62 พุ่งนิวไฮ 2,000 จุด

3,684

 สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(26  ตุลาคม 2561)

 

นายกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ มั่นใจ ตลาดหุ้นไทยไม่หลุด 1,580 จุดมองตลาดเป็นขาขึ้นถึงปีหน้า เหตุสภาพคล่องบานตะเกียงหนุน   ด้านสภาธุรกิจตลาดทุน แย้มอยู่ระหว่างศึกษาตั้งกองทุนรูปแบบใหม่ หลังรัฐฯไม่ต่อ LTF คาดชัดเจนภายในรัฐบาลชุดใหม่

 

 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยในงาน Hot Issue : Market update ว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้ถือว่าปีนี้เป็นปีที่แย่มาก โดยตลาดหุ้นหลายแห่งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีท่าทีทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับ การยื่นงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาบอิตาลียังคงถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่อังกฤษเตรียมตัวออกจากสหภาพยุโรป(Brexit) แบบไม่มีข้อตกลง รวมถึงค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ยังคงมีความผันผวน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Sentiment ของตลาดฯโดยรวมยังไม่ดีนัก แต่มองว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อคือ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ยังคงส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้และในปีหน้าอีก 2-3 ครั้ง แม้ปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะมีความรุนแรงอยู่ก็ตาม ซึ่งนักลงทุนมีความกังวลว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯชะลอตัวลง

 


ขณะเดียวกัน ในปี 2561 ตลาดเกิดใหม่ (emergin market) และตลาดพัฒนาแล้ว (Deverlop Market) รวมกัน 45 ตลาดฯ ได้ปรับตัวลดลงเข้าสู่ตลาดหมี (Bear Market) กว่า 40 ตลาดฯ " ใน 45 ตลาดฯ ปีนี้ ลดลงไปกว่า 40 ตลาดฯ แต่ที่เหลือก็ขึ้นเพียงแค่ 1% เท่านั้น โดย ปี2561 ทั้งปีของไทยลดลง 6% ถือว่ายังน้อย ซึ่งลดลงใกล้เคียงกับตลาดพัฒนาแล้วที่ลงไป 5% ขณะที่อิมเมอร์จินมาร์เก็ต ลดไปกว่า 18% ตลาดเอเชียรวมกัน ลด 19% เช่น จีน ลด 21% , ฟิลิปปินส์ ลด 19% , เกาหลีใต้ ลด 16% และฮ่องกง ลด 17% ดังนั้น ไทยถือว่าจัดอยู่ในกลุ่ม out perform อยู่ เพราะ พื้นฐานบริษัทจดทะเบียนยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและเศรษฐกิจภายในประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยระดับเงินเฟ้อที่ต่ำ และเงินสำรองในประเทศยังสูง รวมถึงบ้านเรามีส่วนเกี่ยวข้องที่จะได้รับผลกระทบกับสงครามการค้าน้อยมาก " นายไพบูลย์ กล่าว

 


นายไพบูลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแรงในครั้งนี้ เป็นเพียงการลงตาม Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น และ หากมีปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเข้ามาตลาดฯจะสามารถเกิดการเด้งกลับได้ ขณะเดียวกัน มองว่าการที่เงินต่างชาติไหลออกจำนวนมาก ซึ่งขายสุทธิถึง 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติใหม่นั้น เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ที่ไหลเข้ามาเป็นเงินลงทุนระยะสั้นที่เล่นตามดัชนี รวมถึงกลุ่มที่ใช้โปรแกรมเทรด ซึ่งช่วงที่ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงจึงมีแรงขายออกมามากกว่าปกติ "ที่ต่างชาติขายเยอะเพราะเงินที่ไหลเข้ามาเป็นเงินระยะสั้นของกองทุนที่เล่นตาม INDEX ถ้า INDEX ลงเงินก็ไหลออก รวมถึงไทยยังมีกองทุนระยะยาวที่เข้ามาช่วยหนุนน้อยอยู่ " นายไพบูลย์ กล่าว

 


สำหรับปัจจัย ที่ต้องติดตามคือ ท่าทีการขึ้นดอกเบี้ย ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และติดตามเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะเข้าสู่ช่วงชะลอตัวเมื่อไหร่ รวมถึงเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสมากน้อยเพียใดที่ชะลอตัวอย่างรุนแรง รวมถึงท่าทีของประธานาธิปบดีโดนัลล์ ทรัปม์ หลังกิดการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
ในส่วนของกรณีที่ทางรัฐบาลจะไม่ต่ออายุกองทุน LTF นั้น ขณะนี้สภาตลาดทุนกำลังอยู่ในระหว่างศึกษากองทุนรูปแบบใหม่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทดแทนกองทุน LTF ที่จะหมดอายุในสิ้นปี 2562 นั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยกองทุนใหม่นี้จะเน้นสร้างเงินออมระยะยาวให้แก่คนไทยตอนเกษียณ รวมถึงทำให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ มีโอกาสเข้าลงทุนได้ด้วย

 

ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ยังคงมั่นใจดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุดแนวรับสำคัญที่ 1,580 จุด และเชื่อว่าสิ้นปี2561 จนถึงปี2562 ตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจาก ปัจจุบันประเทศไทยยังมีสภาพคล่องอยู่มาก และมี P/E เพียง 15 เท่า ถือว่าต่ำมาก และมองว่าขณะนี้ตลาดฯได้อยู่จุดขายมากเกินไป( Over Sold )แล้ว รวมถึงพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนภายในประเทศยังคงมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามาช่วยหนุนได้ โดยมองว่า 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะทำให้ตลาดฯกลับมาคึกคักอีกครั้ง

 

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนในลักษณะทยอยสะสมหุ้น ซึ่งเชื่อว่าดัชนีฯจะสามาถรฟื้นตัวได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

-------------------------------------------------------------------------------------

ด้านบล.ไทยพาณิชย์ คงเป้า SET index สิ้นปีนี้ 1,900 จุด - ประเมินปี 2562 นิวไฮ 2,000 จุด  รับ Sentiment เลือกตั้งหนุน

 

 

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ 1,900 จุด และได้ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2562 จะอยู่ที่ 2,000 จุด บนP/E ที่ 15.6 เท่า เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้รับ sentiment เชิงบวกจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าและกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดฯที่มีการเติบโตประมาณ 7-10% ใกล้เคียงกับปีนี้ อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังดี และภาพรวมเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มียอดสะสมในระดับที่สูง

 

"เรายังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,900 จุดแต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เราคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีน่าจะไม่ต่ำกว่าระดับ 1,800 จุด เพราะมีปัจจัยบวกที่เข้ามาหนุน จากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศของเรายังดี แต่เป้า 1,900 จุด ฝ่ายวิจัยเราประเมินว่า ถ้ามีการเลื่อนอย่างช้าจะไปในช่วงก่อนการเลือกตั้งประมาณ 1 เดือน และปีหน้าเราตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 จุด " นายพรเทพ กล่าว

 


นายพรเทพ กล่าวว่า สำหรับการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะกำลังจะหมดอายุในช่วงปลายปี 2562 มองว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเล็กน้อย เนื่องจากจะมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นราว 7 หมื่นล้านบาท จากผู้ที่ที่ถือLTF และครบกำหนดอายุในช่วงปี 2562 ซึ่งมีเม็ดเงินของกองทุนLTF รวมกว่า 400,000 ล้านบาท

 


ทั้งนี้คาดว่าบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อาจจะมีการออกกองทุนใหม่มาเพื่อรองรับเม็ดเงินที่จะไหลออก ถ้าหากว่ามีการยกเลิกกองทุน LTF สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ยังคงแนะนำให้จับตาปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังคงมีความผันผวน อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา - จีน ความไม่แน่นอนข้อตกลง BREXIT หลังการประชุมครั้งล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งกระแสข่าวในอังกฤษที่แสดงถึงความขัดแย้งของพรรคการเมืองใหญ่ ต่อประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม EU กับอังกฤษในช่วงหลังBREXIT

 


นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการที่นักลงทุนความกังวลต่อร่างงบประมาณปี 2562 ของอิตาลี โดยรัฐบาลอิตาลีต้องการเพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณสู่ระดับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี2562 ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก EU และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเพดานหนี้ของอิตาลีให้สูงขึ้น กดดันให้ Bond Yield ของอิตาลีดีดตัวขึ้นแรง ส่งผลต่อ Credit Risk ของหลายบริษัทเนื่องจากต้นทุนทางการเงินในตลาดการเงินสูงขึ้น

 

ส่วนปัจจัยในประเทศ ยังได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ภาพรวมออกมาค่อนข้างดี ตามการรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยด้านกลยุทธ์ในการลงทุน บริษัทฯยังคงให้น้ำหนักในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่อาจจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย เช่น ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นจีน แต่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และธนาคาร

 

เนื่องจากหุ้นทั้งสองกลุ่มจะได้รับอานิสงค์จากการลงทุนขาขึ้นนี้เองจะกระตุ้นให้ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้ ประกอบกับความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นซึ่งเมื่อรวมกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นก็จะหนุนให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับเพิ่มขึ้นด้วยและส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์โดยหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA , บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะจำกัด (มหาชน) หรือ ROJNAและกลุ่มธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ,ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือKTB และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

HotNews: PTG ติดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 2 ปีซ้อน สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...

SKIN ผนึก APM ลุยโรดโชว์ห้องค้า PST มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม

SKIN ผนึก APM ลุยโรดโชว์ห้องค้า PST มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม

ไฟการเมือง เผาSET By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ อารมณ์คอการเมือง ร้อนทันที เป็นคลิปเสียง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สนทนากับ สมเด็จฯ ฮุน..

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้