Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : TIGER มั่นใจเทรด mai 24 ต.ค.นี้ ยืนเหนือจอง 3.65 บ. / NER เคาะไอพีโอ 600 ล้านหุ้น 2.58 บ./หุ้น จ่อเทรด SET พ.ย. นี้

3,000

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (22 ตุลาคม  2561)

 

TIGER หุ้นแกร่งอย่างเสือ มั่นใจเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก 24 ต.ค.นี้ หุ้นยืนเหนือราคาจอง แจกความสุขให้กับนักลงทุน เหตุกระแสตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยความต้องการแรงเว่อร์ อวดรายได้โตไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี กำไรแรงทะลุมิติ ปัจจุบันบริษัทมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเล็งเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ จากภาครัฐ-เอกชนอีกเพียบ มั่นใจหนุนผลงานในปี 2562 โตก้าวกระโดด

 

 

 

นายจตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)(TIGER) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC) เชื่อมั่นว่าหุ้น TIGER ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ จะสามารถยืนเหนือราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 3.65 บาท เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง ประกอบกับมีผู้บริหาร และบุคลากรที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาและออกแบบมายาวนาน

 

ทั้งนี้ TIGER ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีการถือหุ้น 99.99% ในบริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC )หรือ บริษัทแกน ซึ่งเป็นบริษัทแกน (Core Company) ประกอบธุรกิจให้บริการรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาทุกประเภทรวมทั้งงานออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม (Construction Contractor - Build & Design) นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจสนับสนุนงานรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่

1) ธุรกิจออกแบบและผลิต พร้อมติดตั้งอุปกรณ์จากกระจกและอลูมิเนียม สำหรับงานสถาปัตยกรรมและงานตกแต่งดำเนินการโดย บริษัท ทีอีจี อลูมินั่ม จำกัด หรือ TEA และ

2) ธุรกิจออกแบบและผลิต พร้อมติดตั้งระบบน้ำดีและน้ำเสีย รวมทั้งจัดหาและจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างอื่นๆ ดำเนินการโดย บริษัท ทีอี แมค จำกัด หรือ TEM

 

 

ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2558-2560 และ 6 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.29 ล้านบาท 36.65 ล้านบาท 67.74 ล้านบาท และ 31.30 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตของกำไรสุทธิที่ 294.72% ในปี 2559 และ 84.82% ในปี 2560 และ 20.38% เมื่อเทียบ 6 เดือนแรกของปี 2561 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเมื่อพิจารณาเป็นอัตรากำไรสุทธิ กลุ่มบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 2.51% 7.40% 10.99% และ 8.85% ในปี 2558-2560 และ 6 เดือนแรกของปี 2561 ตามลำดับ

 

"ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ TIGER เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รายได้รวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 30% ต่อปี ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง เป็นตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอด หรือเฉลี่ยประมาณ 16-18% และที่สำคัญงานที่เรารับส่วนใหญ่จะเป็นงานที่มาร์จิ้นอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ทีมงานที่มีประสบการณ์ ทำให้ลูกค้าแนะนำปากต่อปาก ซึ่งหลังจากที่ TIGER ได้รับเงินจากการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าประมูลงานใหม่ๆ ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด"

 

ปัจจุบันบริษัทมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ อีกหลายโครงการทั้งภาครัฐ และเอกชน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยปัจจุบันสัดส่วนงานภาคเอกชนและภาครัฐอยู่ที่ 60:40 ซึ่งในอนาคตวางเป้าหมายงานภาคเอกชนและภาครัฐ อยู่ที่ 50:50 เพื่อกระจายความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TIGER) มั่นใจว่า TIGER จะกลายเป็นหุ้นน้องใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน เนื่องจากในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในส่วนของงานภาครัฐ จากการที่รัฐบาลมีโยบายขยายการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งบริษัทฯเตรียมเข้าประมูลงานใหม่เป็นจำนวนมาก โดยมีหลายโปรเจคที่เตรียมประกาศผลในเร็วๆนี้ ผลักดันผลงานในปี 2562 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

ทั้งนี้ หุ้น TIGER จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ในวันที่ 24 ตุลาคม 2561 นี้

 

 

*** TIGER เปิดงบครึ่งปีแรก กำไรพุ่ง 20.38%***

 

นายวิบูลย์ พจนาลัย ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) TIGER เปิดเผยว่า ผลการดำาเนินงานประจำปี สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 TEC ซึ่งเป็นบริษัทแกน มีรายได้จากการขายและบริการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 และ 2560 จำนวน 333.93ล้านบาท และ 260.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 73.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาปริมาณโครงการก่อสร้างในมือที่เพิ่มมากขึ้น โดยในช่วง 6 เดือนแรกปี 2561 TEC มีโครงการก่อสร้างที่อยู่ระหว่างการด าเนินการขนาดใหญ่และขนาดกลางจำนวนถึง 7 โครงการ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี2560 ที่มีเพียง 5 โครงการ โดยโครงการใหญ่ที่รับรู้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสระแก้วจำนวน 98.48 ล้านบาท (เป็นโครงการใหม่ปี 2561) โรงแรมลาบารีส (Labaris) จำนวน 55.92 ล้านบาท (ปี 2560จำนวน 19.77 ล้านบาท) และงานการประปาพระปรงจำนวน 45.50 บาท (ปี 2560 จ านวน 195.04 บาท) นอกจากนั้นTEC ยังไม่รายได้จากงานโครงการที่เริ่มในปี 2561 อีกจ านวน 2 โครงการ คืองานก่อสร้างอาคารที่จอดรถ โครงการ Sun Parking ที่มีการรับรู้รายได้จำนวน 36.63 ล้านบาท และงาน Hardscape โครงการ Singha Complex จำนวน14.74 ล้านบาท

 


นอกจากรายได้ของงานก่อสร้าง ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 TEC มีรายได้จากการจำหน่ายระบบเครื่องปรับอากาศ สำหรับโครงการ Marvel Experience ซึ่งมีมูลค่าสูงถืง 26.19 ล้านบาท ต้นทุนขายและบริการTEC มีต้นทุนจากการขายและบริการ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 มีจ านวน 275.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28.22 สอดคล้องกับรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ตามTEC มีต้นทุนการก่อสร้างส่วนเพิ่มในโครงการก่อสร้างขยายการผลิตน้ำประปา การประปาส่วนภูมิภาค เขื่อนพระปรง จังหวัดสระแก้ว จำนวน 3.20 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากฝนที่ตกหนักจนทำให้เครือข่ายท่อน้ำประปาที่วางไปแล้ว และแพสูบน้ำของโครงการเกิดการชำรุดเสียหาย TEC จึงมีการปรับปรุงประมาณการต้นทุนก่อสร้างให้รวมผลกระทบดังกล่าว

 


ส่งผลให้ต้นทุนก่อสร้างในไตรมาส 1 ของปี 2561 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย นอกจากนั้นบริษัทยังมีต้นทุนขายสำหรับการจำหน่ายระบบเครื่องปรับอากาศ สำหรับโครงการ Marvel Experience จำนวน 25.15 ล้านบาท กำไรขั้นต้นกลุ่มบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนการขายและบริการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มบริษัทปรับขึ้นจาก 46.50 ล้านบาท มาเป็น 58.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.58 ในงวด 6 เดือนแรกปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.90 ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561

 


ขณะที่ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นจาก 13.57 ล้านบาท มาเป็น18.02 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.45 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.79 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกในปี 2560เนื่องจากในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 นั้น TEC มีการท าสัญญาเงินกู้กับธนาคารพาณิชย์ฉบับใหม่ และมีค่าใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมดังกล่าว รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเงินเดือนและสวัสดิการของพนักงานที่เพิ่มขึ้น จึงทำห้ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริการเพิ่มขึ้น

 


ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิที่เติบโตจากงวด 6 เดือนแรกในปี 2560 จาก 26.00 ล้านบาทเป็น 31.30 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.30 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยะละ 20.38 เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการที่เติบโตมากขึ้น ตามที่กลุ่มบริษัทมีการรับงานที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่างานมากขึ้นกว่างวดเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

ด้าน IPO น้องใหม่ล่าสุด บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ตั้ง บล.โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จัดการการจัดจําหน่ายหุ้น พร้อมผู้ร่วม จัดจําหน่ายอีก 7 แห่ง เสนอขายหุ้นไอพีโอ 600 ล้านหุ้น ราคา 2.58 บาท เปิดจองซื้อหุ้น 29 - 31 ตุลาคม 2561 คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีแผนสร้าง โรงงานใหม่เพื่อขยายกําลังการผลิตยางแท่ง (STR) และยางแท่งผสม (Mixtures Rubber)


***NER เคาะไอพีโอ 600 ล้านหุ้น2.58 บ./หุ้น จ่อเทรด SET พ.ย. นี้ ***

 

 


นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จํากัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษา ทางการเงิน กล่าวว่า บริษัท นอร์ทอีส จํากัด (มหาชน) (NER) ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จํากัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจําหน่ายและรับประกันการจําหน่ายหุ้น (Lead Underwriter) พร้อมผู้ร่วมจัดจ้าหน่ายหุ้นอีก 7 บริษัท โดย NER จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จํานวน 500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท คิดเป็น 38.96% ของจ้านวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 770 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,540 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท

 

ที่ผ่านมา NER ได้ทําการเดินสายเพื่อนําเสนอข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนในประเทศจํานวน 17 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง นครปฐม ราชบุรี อุบลราชธานี สุรินทร์ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ภูเก็ต สุราษฎร์ ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร และต่างประเทศ 3 ประเทศ ได้แก่ สิงค์โปร์ ฮ่องกง และจีน เพื่อให้นักลงทุนสถาบันและคู่ค้าได้ ทําความเข้าใจและรู้จักบริษัทมากยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ APM ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสํานักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 สํานักงาน ก.ล.ต.ได้แจ้ง อนุญาตการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ NER และเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 บริษัทได้รับแจ้งการมีผลใช้บังคับของแบบแสดง รายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จํากัด (APM) กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า NER มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งปัจจุบันบริษัทผลิตยางแผ่นรมควัน (Ribbed Smoked Shoot : RSS) ยางแท่ง มาตรฐาน (Standard Tha) Rubber: STR) และยางผสม (Mixtures Rubber) เพื่อจําหน่ายให้กับผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีลูกค้ารายสําคัญ เช่น บริดจสโตน (Bridgestone) ผู้ผลิตยางและยางรถยนต์รายใหญ่ในตลาด รวมไปถึงกลุ่มผู้ค้าคนกลาง (Trader) ทั้งในและต่างประเทศ เช่น จีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย

 

ทั้งนี้ NER มียอดขายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 60 และต่างประเทศร้อยละ 40 บริษัทมีการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ การคัดวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และการจัดส่งสินค้าที่ตรงตามเวลา นอกจากนี้บริษัทมีห้องวิจัยของตนเองทําให้สามารถทําการ วิเคราะห์คุณภาพก่อนการจําหน่ายได้ด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสําคัญของ NEIR

 

 

ด้านนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ NER เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุน IPO ครั้งนี้ ไปลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 60,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 62 และมีแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตยางแท่ง (STR) และยางแท่งผสม (Mixtures Rubber) กำลังการผลิต 172,800 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 63 ส่วนเงินระดมทุนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

 

ทั้งนี้ เมื่อรวมการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรยางแผ่นผสมที่จะแล้วเสร็จในปี 62 และการลงทุนก่อสร้างโรงงาน ยางแท่ง STR และยางแท่งผสมแห่งใหม่ที่จะแล้วเสร็จในปี 63 จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตยางพาราแปรรูป รวมทั้งโรงงานเป็น 465,600 ตันต่อปี

 

NER         TIGER  

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

กองทุน ถล่มขายหุ้น ถือเงินสด By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นวานนี้ สถาบันในประเทศ อย่าง กองทุน ขายหุ้นมากกว่า 6.39 พันล้านบาท เพื่อถือเงินสด ....

HotNews: PTG ติดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 2 ปีซ้อน สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้