สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 30 ธันวาคม 2568 )-------InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2568 คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์/รีบาวด์ นักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมาซื้อสุทธิในขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิลดลง ค่าเงินบาทอ่อนค่าหลังทองคำปรับตัวลงแรง ลดความกังวลหุ้นส่งออกและอาจหนุน Delta ขณะที่แรงซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีวันสุดท้ายยังเป็นความหวัง ด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมีโอกาสหนุนหุ้นพลังงานต้นน้ำ ทางเทคนิค ระยะสั้นหลุดแนวรับหลักที่ 1257 ทำให้มีช่วงลงทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1250/1244 ที่บริเวณนี้มีโอกาสทำให้หยุดไหลหรือดีดกลับได้ มีแนวต้านที่ 1260/1265
ประเด็นสำคัญ
• ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวขึ้นกว่า 2% สู่ 58.08 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลอุปทาน หลังความตึงเครียด รัสเซีย–ยูเครน รุนแรงขึ้น โดยรัสเซียอ้างยูเครนใช้โดรนโจมตีบ้านพักของ วลาดิเมียร์ ปูติน ผนวกเหตุโจมตีในเยเมนที่เสี่ยงกระทบเส้นทางขนส่งน้ำมันหนุนราคา
• จีนเปิดฉากซ้อมรบ “Justice Mission 2025” รอบ ไต้หวัน ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. ระดมกำลังทัพบก เรือ และอากาศ พร้อมซ้อมยิงจริง 30 ธ.ค. 08.00–18.00 น. ยังไม่ระบุวันสิ้นสุดปฏิบัติการ ด้าน จีน ระบุเป็นการเตือนฝ่ายแบ่งแยกดินแดน ขณะไต้หวันประณามการยั่วยุ ผลกระทบต่อตลาดหุ้นยังจำกัดตลาดหุ้นไต้หวันยังคงปรับตัวขึ้น
• เงินบาทวานนี้อ่อนค่าเกือบ 2% แตะ 31.65 บาท/ดอลลาร์ หลังทางการออกมาตรการสกัดการแข็งค่าเร็วต่อเนื่อง ผนวกแรงกดดันจากราคาทองคำโลกที่ลดลงแรง ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาค ในขณะที่สภาพคล่องตลาดช่วงปลายปีค่อนข้างเบาบาง
• สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายงาน MPI เดือนพ.ย.2568 อยู่ที่ 90.54 หดตัว 4.24% YoY และ 4.39% MoM ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเหลือ 55.49% จากแรงกดดันเงินบาทแข็ง การผลิตปิโตรเลียมลดลง สถานการณ์ชายแดน น้ำท่วมภาคใต้ และนักท่องเที่ยวชะลอ ตามข้อมูลของ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
• ไทย กัมพูชา และจีน จัดประชุมสามฝ่ายหลังข้อตกลงหยุดยิง 72 ชั่วโมง โดยจีนทำหน้าที่ประสานงาน ทั้งสองประเทศเห็นพ้องลดการเผชิญหน้า เก็บกู้ทุ่นระเบิด ถอนอาวุธหนัก โดยไทยเตรียมพิจารณาส่งทหาร 18 นายกลับกัมพูชา เพื่อฟื้นฟูสันติภาพตามแนวทางที่ ไทย กัมพูชา และ จีน หารือร่วม โดยจะมีการครบกำหนดหยุดยิงเที่ยงวันนี้
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,230–1,320 จุด โดยบรรยากาศลงทุนมีปัจจัยหนุนเชิงฤดูกาลจากแรงซื้อโค้งสุดท้ายปลายปีจากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG และการทำ Window Dressing อีกทั้งยังมีแรงหนุนจาก January Effect ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี (2564–2568) พบว่า ช่วงสัปดาห์แรกของวันทำการหลังปีใหม่ SET จะปรับขึ้น โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยราว 1.3% ด้วย Win Rate 60% สะท้อนพฤติกรรมการกลับเข้าลงทุนของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศหลังพ้นวันหยุดยาว ขณะเดียวกันมองตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักกับปัจจัยการเมืองในประเทศมากขึ้น รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองหลัก ส่วนปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตามซึ่งอาจมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น ได้แก่ FOMC Minutes และข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐในเดือน ธ.ค. ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
แนวรับ – แนวต้าน : 1250/1244 – 1260/1265
ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบก่อนเข้าช่วงสิ้นปี คาดตลาดติดตามปัจจัยในประเทศ-การเมือง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักและ 2 ธีมเทรดดิ้งที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Defensive ซึ่งผลการดำเนินงานสามารถต้านทานความผันผวนภายนอก โดยเราคาด 4Q68 กำไรยังเติบโตดี YoY และแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดี แนะนำ ADVANC BDMS BEM BGRIM GULF PTT
2. หุ้นปันผลคุณภาพดีเพื่อสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนให้แก่พอร์ตลงทุน แบ่งเป็น 1) หุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะยาว (กำไรแต่ละปีมั่นคง, ผันผวนต่ำ, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง, มี SETESG Rating A-AAA และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield สูงเกินปีละ 5%) แนะนำ AP DIF KTB PTT TISCO และ 2) หุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะสั้น 6 เดือน (กำไรปี 68 มั่นคง, ผันผวนต่ำ, คาดมีเงินปันผลจากกำไรปี 2568 ที่เหลือจ่ายหลังหักเงินปันผลที่ประกาศจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว ซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5%) แนะนำ BAM KBANK SAT THANI TLI
3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาด กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าอีก 2 ครั้ง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลงตามภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จาก January Effect โดยเน้นเลือกหุ้น SETHD และ sSET ซึ่งจากสถิติ 5 ปีล่าสุดพบให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงราว 1.5-2.0% ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังเปิดปีใหม่ด้วย Win Rate 80% แนะนำ KTB BBL AP THANI KBANK และ 2) หุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และ/หรือ ความคาดหวังเชิงบวกกจากเชื่อมโยงกับนโยบายของพรรคการเมือง อาทิ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL TNP) กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (GFPT CBG OSP) กลุ่มสินเชื่อ (SAWAD TIDLOR) และกลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW)
Daily Top Picks
PTT: มีปัจจัยกระตุ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น บริษัทวางเป้าหมายเป็นผู้นําในธุรกิจ LNG ภูมิภาคผ่านการลงทุนเชิงรุกในโครงสร้างพื้นฐาน LNG และ ปลดล็อกมูลค่าจาก Asset Monetization ส่วน Valuation น่าสนใจ ซื้อขายที่ P/BV ปี 69 เพียง 0.7 เท่าและ P/E 10.8 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี พร้อมปันผล 6% เป้าหมายระยะสั้น 32.50 บาท
BDMS: มีปัจจัยหนุนระยะสั้นจากโอกาสได้ประโยชน์ธีม Window Dressing หลังราคาลดลง YTD ขณะที่ ESG Rating สูงขึ้นเป็น AAA และกำไรไม่ผันผวนตามปัจจัยภายนอก โดยปี 2568 คาดกำไรปกติเติบโต 3%YoY และเติบโตได้ต่อ 8%YoY ในปี 2569 และอัตราผลตอบแทนปันผลน่าสนใจช่วยลดความเสี่ยงขาลง เป้าหมายระยะสั้น 19.80 บาท