สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(29 ธันวาคม 2568)----------SCB CIO มอง AI กำลังก้าวสู่แรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก จากศักยภาพในการเพิ่มผลิตภาพและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ภายใต้เม็ดเงินลงทุน AI ทั่วโลกที่อาจสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 โดยหาก AI เพิ่ม Productivity ได้ราว 1.5% จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มรายได้รวมกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี แม้ valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง แต่กำไรที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง และพัฒนาการ AI ทำให้ valuation ที่สูงเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ข้อจำกัดหลักต่อผลตอบแทน ในระยะถัดไป พร้อมแนะลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหลักควบคู่กระจายไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย รวมถึง ทองคำและเสริมพอร์ตด้วย Tech / AI , Renewable Energy และ Healthcare เพื่อรับโอกาสเติบโตในระยะถัดไป
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยประเมินว่า AI กำลังก้าวสู่การเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก จากศักยภาพในการยกระดับผลิตภาพ (productivity) และการสร้างแหล่งรายได้ใหม่เป็นวงกว้าง ทั้งในภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอื่นๆ ภายใต้เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกที่อาจสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 หาก AI สามารถเพิ่ม productivity ได้ราว 1.5% จะช่วยผลักดันการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ให้สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 2% และหนุนรายได้รวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ขณะที่ Consensus คาดว่ารายได้ของกลุ่ม hyperscalers จะเพิ่มขึ้นราว 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จนถึงปี 2573
กำไรของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เติบโตแข็งแกร่ง และการขยายตัวของ AI ไปหลายอุตสาหกรรม ทำให้ valuation ที่อยู่ในระดับสูง เพียงอย่างเดียวไม่ใช่ข้อจำกัดหลักต่อแนวโน้มผลตอบแทนในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนของหุ้นธีม AI มีแนวโน้มกระจายตัวมากขึ้น และถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเฉพาะบริษัท เช่น พื้นฐานธุรกิจ ความสามารถในการเข้าถึงเงินทุน และระดับการใช้ประโยชน์จาก AI ส่งผลให้การคัดเลือกสินทรัพย์เชิงรุก (active selection) สำคัญมากขึ้น ภายใต้บริบทนี้ จึงยังคงมุมมองเปิดรับความเสี่ยง (risk-on) และเน้นลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยคาดว่าการเติบโตของกำไรในกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI จะยังเป็นแรงหนุนสำคัญของตลาด
การลงทุนด้าน AI มีการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงต้น ขณะที่รายได้จะทยอยเกิดขึ้นในระยะยาว ส่งผลให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องพึ่งพาการก่อหนี้มากขึ้น โดยแม้งบดุลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังแข็งแกร่ง แต่ด้วยขนาดเงินลงทุนด้าน AI ที่สูงมาก ทำให้บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากตลาดเครดิตทั้ง public และ private มากขึ้น ขณะเดียวกัน ระดับหนี้ภาครัฐที่อยู่ในระดับสูง และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ จำกัดบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการลงทุนด้าน AI ซึ่งการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกันทั้งภาครัฐและเอกชน มีแนวโน้มหนุนให้ bond yield ระยะยาว ปรับสูงขึ้น และเพิ่มความเปราะบางของระบบการเงินต่อแรงกระแทก (shocks) จากการที่ bond yield พุ่งขึ้นแบบเฉียบพลัน
ดังนั้น ภายใต้บริบทของการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น SCB CIO มองว่า กลยุทธ์ตราสารหนี้ ควรหลีกเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว แต่ยังคแนะนำลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ (UST) และหุ้นกู้ Investment Grade (IG) สหรัฐฯ ระยะสั้น ขณะที่ ในฝั่งหุ้น ควรเน้น active selection โดยให้ความสำคัญกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอำนาจกำหนดราคา งบดุลที่แข็งแกร่ง และกระแสเงินสดที่มั่นคง
นอกจากนี้ ภายใต้ regime การลงทุนปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ถูกขับเคลื่อนโดย Mega Forces อย่างธีม AI ได้ทำให้ประสิทธิภาพของการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิมลดลงอย่างชัดเจน เห็นได้จากความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ในพอร์ตหลายสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ UST ระยะยาว ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตได้เหมือนอดีต ส่งผลให้พอร์ตลงทุนหุ้นและตราสารหนี้แบบ 60/40 สูญเสียบทบาทในการลดความผันผวนเชิงระบบ และพอร์ตที่ดูเหมือนกระจายความเสี่ยงแล้ว อาจยังแฝงความเสี่ยงเชิงมหภาคที่กระจุกตัวอยู่
ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประเด็นข้างต้นยิ่งชัดขึ้น ผลตอบแทนยังถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยร่วมเพียงไม่กี่ปัจจัยโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับธีม AI สะท้อนจาก ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดที่มากกว่า ดัชนีฯ แบบถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ทำให้ความพยายามกระจายการลงทุนออกจากสหรัฐฯ หรือออกจากธีม AI ไม่ใช่การตัดสินใจที่เป็นกลางอีกต่อไป แต่เป็นการตัดสินใจเชิงรุก ซึ่งอาจมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในระยะหลายปี ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงในบริบทในปัจจุบัน ไม่ควรถูกตีความเป็นการออกจากธีมหลักของตลาด แต่ควรเสริมพอร์ตด้วย แหล่งผลตอบแทนที่มีลักษณะเฉพาะตัว (idiosyncratic returns) อย่าง private markets* และ hedge funds ควบคู่การบริหารพอร์ตเชิง tactical เพื่อรับมือโครงสร้างตลาดที่กระจุกตัวและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
สำหรับคำแนะนำในพอร์ตลงทุนของ SCB CIO เน้นการคัดเลือก (Selective) มากขึ้น เช่น หุ้นในกลุ่ม Tech AI ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างดี แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่เท่ากัน การเลือกผู้ชนะจึงสำคัญ ดังนั้น จึงควรเน้นลงทุนเชิงรุก เพื่อค้นหากลุ่มที่สามารถสร้างรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น โดยไม่จำกัดอยู่แค่บริษัทเทคโนโลยี แต่จะขยายไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ ผ่านการกระจายพอร์ตให้หลากหลายมากขึ้น
การลงทุนในพอร์ตหลัก (Core Portfolio) แนะนำทยอยเข้าลงทุนระยะยาว โดยเน้น UST และหุ้นกู้ IG ระยะสั้น ควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน REITs และ Private Assets (สำหรับนักลงทุน Ultra-High Net Worth ที่รับความเสี่ยงได้สูงเท่านั้น) เพื่อสร้างกระแสเงินที่สม่ำเสมอ ในส่วนตลาดหุ้น เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ได้รับอานิสงส์หลักจากการขยายตัวของธีม AI ขณะเดียวกัน เพิ่มโอกาสการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Tech AI นอกสหรัฐฯ เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งโดดเด่นในกลุ่มชิปและห่วงโซ่ AI, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ในฐานะผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่จำเป็นต่อ AI และตลาดหุ้นจีน (All-Share) จากนโยบายพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีและการยกระดับศักยภาพ AI โดยภาครัฐ รวมถึง ตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งแม้มีน้ำหนักหุ้นกลุ่ม AI ไม่สูง แต่ได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก เพื่อเสริมการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว พร้อมแนะนำลงทุนในทองคำ เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์
ส่วนการลงทุนในพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง และต้องการลงทุนในระยะสั้น แนะนำเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกที่เชื่อมโยงกับธีม Tech และ AI ที่มีแนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน แนะนำหุ้นกลุ่ม Renewable Energy ซึ่งได้อานิสงส์จากการขยายตัวของ AI และการลงทุน Data Center ที่จะหนุนความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างมากในระยะกลางถึงยาว นอกจากนี้ เสริมพอร์ตด้วยหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่มีลักษณะ Defensive โดยมีความผันผวนของกำไรต่ำกว่าตลาดโดยรวม และยังได้แรงหนุนจากความชัดเจนด้านกฎเกณฑ์ควบคุมราคายา