Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธุรกิจตั้งใหม่เดือนพฤศจิกายน ชะลอตัวเล็กน้อยตามวัฏจักร ด้านสัญญาณลงทุนต่างชาติยังแกร่ง เงินลงทุน 11 เดือนพุ่งกว่า 3.11 แสนล้านบาท

109

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (25 ธันวาคม 2568 )-----กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยสถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤศจิกายน 2568 มีจำนวน 5,554 ราย ลดลงจากเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านภาพรวมการลงทุนจากต่างชาติยังคงเติบโต ช่วง 11 เดือนของปี 2568 มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย 973 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 311,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนนักลงทุนและมูลค่าเงินลงทุน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และก่อนสิ้นปีกรมฯ จัดของขวัญปีใหม่ให้ภาคธุรกิจและประชาชนทั้งส่วนลด โปรโมชัน และการให้บริการที่ไม่สะดุด

         นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลวิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 5,554 ราย เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนตุลาคม 2568 (7,165 ราย) ลดลง 1,611 ราย คิดเป็น 22% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (6,266 ราย) ลดลง 712 ราย คิดเป็น 11%

            ขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 14,860 ล้านบาท เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนตุลาคม 2568 (21,778 ล้านบาท) ลดลง 6,917 ล้านบาท คิดเป็น 32% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (24,220 ล้านบาท) ลดลง 9,360 ล้านบาท คิดเป็น 39%

         จากสถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์อัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า มี 3 ประเภทธุรกิจที่ขยายตัวอย่างน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2567 (YoY)  คือ 1) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด มีจำนวน 1,339 ราย เพิ่มขึ้น 428 ราย คิดเป็น 46.98% ทุนจดทะเบียน 12,882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,476 ล้านบาท 2) ธุรกิจการขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนฯ มีจำนวน 1,426 ราย เพิ่มขึ้น 437 ราย คิดเป็น 44.19% ทุนจดทะเบียน 2,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 577 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร มีจำนวน 1,876 ราย เพิ่มขึ้น 415 ราย คิดเป็น 28.41% ทุนจดทะเบียน 2,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 531 ล้านบาท

            การจัดตั้งใหม่ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 80,064 ราย เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (83,219 ราย) ลดลง 3,155 ราย คิดเป็น 4%

          ขณะที่ทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 250,852 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (262,850 ล้านบาท) ลดลง 11,999 ล้านบาท คิดเป็น 5%


          การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤศจิกายน 2568 มีจำนวน 2,494 ราย เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM)   กับเดือนตุลาคม 2568 (2,298 ราย) เพิ่มขึ้น 196 ราย คิดเป็น 9% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (2,852 ราย) ลดลง 358 ราย คิดเป็น 13%

            ด้านทุนจดทะเบียนเลิกอยู่ที่ 10,979 ล้านบาท เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนตุลาคม 2568 (9,228 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1,751 ล้านบาท คิดเป็น 19% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (10,173 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 805 ล้านบาท คิดเป็น 8%

การจดทะเบียนเลิกช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 16,671 ราย ลดลง 943 ราย คิดเป็น 5% เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (17,614 ราย)

            ทุนจดทะเบียนเลิก 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 88,797 ล้านบาท ลดลง 47,281 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (136,078 ล้านบาท) ลดลง 47,281 ราย คิดเป็น 35%


เมื่อเทียบอัตราจัดตั้งธุรกิจต่อการจดเลิกธุรกิจย้อนหลัง 5 ปี  (2563-2567) อยู่ที่อัตรา 4:1 ขณะที่ในปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) อยู่ที่ 5:1 ถือว่าภาพรวมอยู่ในทิศทางที่ดี และมีอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

          ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,044,893 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.73 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 970,081 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 23.32 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 770,906 ราย คิดเป็น 79.47% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 17.27 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 197,671 ราย คิดเป็น 20.38% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,504 ราย คิดเป็น 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.62 ล้านล้านบาท

          สำหรับกลุ่มนิติบุคคลที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดคือ กลุ่มบริการ มีจำนวน 526,117 ราย ทุนจดทะเบียน 13.60 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มค้าส่ง/ค้าปลีก 318,212 ราย ทุนจดทะเบียน 2.62 ล้านล้านบาท และกลุ่มผลิต 125,752 ราย    ทุนจดทะเบียน 7.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.24%, 32.80% และ 12.96% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ

การลงทุนของชาวต่างชาติในไทยประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 และ 11 เดือนของปี 2568

            การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (เฉพาะธุรกิจที่กำหนดให้ต้องขออนุญาต) เดือนพฤศจิกายน 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 104 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 35 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 69 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 34,426 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น ตามลำดับ

           สำหรับช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 973 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 263 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 710 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 311,162 ล้านบาท

            โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 89 ราย (10%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (884 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 97,198 ล้านบาท (45%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (213,964 ล้านบาท)

            ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 169 ราย คิดเป็น 17% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 82,505 ล้านบาท 2) สิงคโปร์ 146 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 100,265 ล้านบาท 3) สหรัฐอเมริกา 137 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,038 ล้านบาท 4) จีน 133 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 33,119 ล้านบาท 5) ฮ่องกง 104 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 14,496 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 284 ราย คิดเป็น 29% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 75,739 ล้านบาท

          การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 277 ราย คิดเป็น 28% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 4 ราย จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (281 ราย) คิดเป็น 1% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 101,666 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 72 ราย เงินลงทุน 18,667 ล้านบาท ญี่ปุ่น 60 ราย เงินลงทุน 32,349 ล้านบาท สิงคโปร์ 40 ราย เงินลงทุน 22,705 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 105 ราย เงินลงทุน 27,945 ล้านบาท"

ของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน

          กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เสริมแกร่ง SMEs อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและประชาชน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มโอกาสทางธุรกิจช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมจัดแคมเปญ 'ของขวัญปีใหม่ 2569' ส่งมอบความสุขและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนทั่วประเทศ ภายใต้นโยบายสนับสนุนการเริ่มต้นและขยายธุรกิจ ควบคู่กับการยกระดับบริการภาครัฐให้สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น โดยไฮไลต์ของขวัญปีใหม่ 2569 ประกอบไปด้วย

          1) ขยายเวลาให้บริการจดทะเบียนและข้อมูลนิติบุคคล ระหว่างวันที่ 22-30 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.30 น. โดยสามารถใช้บริการผ่านระบบ DBD Biz Regist e-PCL และ e-Service รวมถึง Walk In (เฉพาะบริการจดทะเบียนบริษัทมหาชนจำกัด สมาคมการค้า และหอการค้า) และวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กรมฯ จะขยายเวลาเปิดให้บริการหนังสือรับรองนิติบุคคลในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ DBD e-Service โดยสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่ช่วงเวลา 06.00-23.00 น. ให้บริการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ

          2) ลดค่าธรรมเนียม ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-28 กุมภาพันธ์ 2569 ผู้ใช้บริการขอหนังสือรับรองนิติบุคคล ผ่านธนาคารกรุงไทยทุกสาขา (เฉพาะค่าบริการของธนาคาร) จะจ่ายค่าบริการที่ถูกลงจาก 150 บาท เหลือเพียง 100 บาท คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ภาคธุรกิจและประชาชนได้กว่า 27,000 ราย

          3) ลดค่าแพ็กเกจแฟรนไชส์ สูงสุด 30% ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568-31 มกราคม 2569 กรมฯ ได้ร่วมกับธุรกิจแฟรนไชส์ภายใต้การส่งเสริมของกรมฯ จำนวน 50 แบรนด์ทั่วประเทศ ครอบคลุมกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าแพ็กเกจแฟรนไชส์สูงสุดร้อยละ 30 คาดสร้างมูลค่าการค้ากว่า 180 ล้านบาท

          4) มอบของขวัญปีใหม่สำหรับ SMEs 'Smart Start Gift' ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2568-31 มกราคม 2569 กรมฯ มอบส่วนลดพิเศษผ่านแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ เพียงกรอก "Code: DBD-NY" ได้แก่ Shopee จำนวน 500 สิทธิ NocNoc จำนวน 50 สิทธิ และ TikTok จำนวน 2,722 สิทธิ นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมอบให้แก่ SMEs และประชาชนรวมกว่า 3,272 โค้ด โดยได้รับการสนับสนุนจาก DEPA ในวงเงินสูงสุด 10,000 บาทต่อราย (ตามเงื่อนไข) เปิดรับสิทธิตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568-31 มกราคม 2569 สามารถสมัครผ่านระบบออนไลน์

          "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ย้ำว่าของขวัญปีใหม่ 2569 นี้ จะเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนรับศักราชใหม่" อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

สุขสันต์วันคริสต์มาส By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มาแล้วคร้า ขอสุขสันต์วันคริสต์มาส (Christmas) หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ..

Merry Christmas By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง สวมหมวกซานตาคลอส Ho Ho Ho... Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาสคุณผู้อ่านทุกท่านคร้า....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้