Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน

99

 

เตรียมรับแรงกระแทกจากตลาดหุ้นโลก

HORIZON MARKET VIEW
• วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลงแรง ทำให้ดัชนี NASDAQ ร่วง 1.8%และ S&P500 ร่วง 1.2% ท่ามกลางความกังวลต่อความคุ้มค่าในการลงทุน AI บวกกับกระแสข่าวกระทบความเชื่อมั่นจาก BLUE OWL CAPITAL พันธมิตรหลักของORACLE ไม่ร่วมลงทุนศูนย์ข้อมูลในมิชิแกน
• นอกจากนี้ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ 1) การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน พ.ย. 68 ในวันที่ 18 ธ.ค. 68 ตลาดคาดปรับตัวสูงขึ้นเป็น 3.1%YOYทำจุดสูงสดในรอบปี2) การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากการ UNWIND YEN CARRYTRADE หลัง BOJ เตรียมขึ้นดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1995 และอาจปรับNEUTRAL RATE ขึ้น ซึ่งสวนทางกับ FED ที่เพิ่งปรับลดดอกเบี้ย ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ – ญี่ปุ่นแคบลง

 


REGION RADAR
• ELI LILLY เป็นผู้นำในด้าน GLP-1 ของโลก ล่าสุดบริษัทมี MARKETSHARE ของตลาดยาลดน้ำหนักในสหรัฐฯ แซงหน้าคู่แข่งอย่างNOVO NORDISK และในปี 2026-2027 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวยาชนิดใหม่ แนะนำเก็งกำไร ELI LILLY (DR: LLY80)
• ภายใต้หุ้นเทคฯ ผันผวน MICRON TECHNOLOGY (MU US) เผยงบแข็งแกร่ง โดยรายได้รวมอยู่ที่ $1.36 หมื่นล้าน +57% YOY และEPS อยู่ที่ $4.78 +167% YOY คาดเป็น SENTIMENT เชิงบวกเฉพาะตัวในระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มชิปหน่วยความจำ อาทิSY HYNIX(000660 KS) และ MICRON TECHNOLOGY (MU US)


THAI FOCUS
• กนง. ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% (ตามคาด) มติเป็นเอกฉันท์เพื่อรับมือเศรษฐกิจที่ "ซึมและเสี่ยง" โดยปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 69 เหลือโตแค่1.5% (จากปัจจัยลบเรื่องน้ำท่วม, บาทแข็ง และกำแพงภาษีสหรัฐฯ)
• แต่ถือเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้น โดยระดับดอกเบี้ยต่ำทำให้ต้นทุนถูกลงและตลาดหุ้นจะน่าสนใจกว่าพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ (MEYGสูงถึง 5% ชนะค่าเฉลี่ย 10 ปี) และหากปีหน้า กนง.เปิดโอกาสลดดอกเบี้ยอีก หุ้นไทยจะยิ่งดูถูก และน่าสนใจขึ้นไปอีก


SYNAPSE STRATEGY
• หุ้นเทคฯ หุ้นญี่ปุ่นยังผันผวน นักลงทุนรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้และลดความเสี่ยงประเด็น YEN CARRY TRADE
• ส่วนตลาดหุ้นไทยมี DIVIDEND YIELD 4.3% สูงกว่าหลายประเทศ(ดัชนี S&P500 1.2%) ได้แรงหนุนจากกนง. ลดดอกเบี้ย เหลือ 1.25%ทำให้ DIVIDEND YIELD GAP สูงขึ้นมาบริเวณ 3% เทียบเคียงปี2016 และ 2022 ที่ FUND FLOW ไหลเข้า แนะนำหุ้นปันผลสูงที่ผู้บริหารซื้อคืนต่อเนื่อง MAJOR, CPF และหุ้นท่องเที่ยว ERW

 

HORIZON MARKET VIEW
แรงกดดันถาโถม ทำตลาดหุ้นผันผวนหนัก
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงแรง ทำให้ดัชนี NASDAQ ร่วง 1.8% และ S&P500 ร่วง 1.2% นำโดย PLTR -5.6%, AMD -5.3%, ORCL -5.4%, AVGO -4.5%, NVDA -3.8% ท่ามกลางความกังวลต่อความคุ้มค่าในการลงทุน AI บวกกับกระแสข่าวกระทบความเชื่อมั่นจาก BLUE OWL CAPITAL พันธมิตรหลักของORACLE ไม่ร่วมลงทุนศูนย์ข้อมูลในมิชิแกนนอกจากนี้ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ
1. การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน พ.ย. 68 ในวันที่ 18 ธ.ค. 68 ตลาดคาดปรับตัวสูงขึ้นเป็น3.1%YOY ทำจุดสูงสดในรอบปี
2. การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากการ UNWIND YEN CARRY TRADE หลัง BOJ เตรียมขึ้นดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1995 และอาจปรับ NEUTRAL RATE ขึ้น จากหลายปัจจัย อาทิ เงินเฟ้อใกล้ 3%,ความกังวลเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น, ความไม่แน่นอนด้านการค้าสหรัฐลดลง, เงินเยนอ่อนค่า เป็นต้นซึ่งสวนทางกับ FED ที่เพิ่งปรับลดดอกเบี้ย ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ – ญี่ปุ่นแคบลง

และด้วยญี่ปุ่นมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก (รองจาก สหรัฐฯ และจีน) การเดินหน้านโยบายต่างๆอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่สัญญาณจาก CDS (คล้ายกับการซื้อประกันให้กับตราสารหนี้) ของญี่ปุ่นสูงขึ้น อาจกำลังสะท้อนความกังวลเพิ่มขึ้นต่อความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งมักจะกดดันตลาดหุ้นผันผวน


REGION RADAR
ELI LILLY ผู้นำในธุรกิจยาเบาหวานและลดความอ้วน
ELI LILLY เป็นผู้นำในด้าน GLP-1 ของโลก ล่าสุดบริษัทมี MARKET SHARE ของตลาดยาลดน้ำหนักในสหรัฐฯแซงหน้าคู่แข่งอย่าง NOVO NORDISK ในปีนี้ ซึ่ง ELILILLY มีส่วนแบ่ง GLP-1 ในตลาดสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 57.9%ขณะที่ทาง NOVO NORDISK มีส่วนแบ่งที่ระดับ 41.7%

ด้าน GOLDMAN SACHS ได้ประมาณการตลาดยาลดน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ก่อนหน้า หนุนจากปริมาณการซื้อขายยาที่จะเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาของยา GLP-1 ชนิดเม็ดของ NOVO และ ELI LILLY

นอกจากนี้ CATALYST สำคัญในอนาคตของ ELI LILLY คือการเปิดตัวยาใหม่ โดยในปี 2026 คาดจะมีการวางจำหน่ายยา ORFORGLIPRON ซึ่งเป็นยา GLP-1 ชนิดเม็ดรับประทาน และในปี 2027 บริษัทคาดจะวางจำหน่ายยา RETATRUTIDE เป็นยา GLP-1 รูปแบบฉีดชนิด PREMIUM ซึ่งมีประสิทธิภาพดีที่สุดในบรรดายาลดน้ำหนักและยารักษาเบาหวานในปัจจุบัน


MICRON TECHNOLOGY เผยงบแข็งแกร่งและแนวโน้มสดใส
MICRON TECHNOLOGY รายได้รวมอยู่ที่ $1.36 หมื่นล้าน +57% YOY และ EPS อยู่ที่ $4.78 +167% YOYหนุนโดยรายได้จากธุรกิจ DRAM +69% YOY นอกจากนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาสถัดไปจะอยู่ที่ราว $1.87หมื่นล้าน (สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ $1.43 หมื่นล้าน) และคาด EPS อยู่ที่ $8.42 (สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ 4.71)แต่หุ้นเทคฯ ที่ผันผวนในช่วงนี้ แนะนำเก็งกำไร แต่ต้องตั้งจุด STOP LOSS ไว้ด้วย

 

THAI FOCUS
กนง.ลดดอกเบี้ยตามคาด ทำให้ระดับ MEYG ของ SET ยิ่งน่าสนใจ
หลังการประชุม กนง.ลดดอกเบี้ยเอกฉันท์ตามคาด 25 BPS. เหลือ 1.25% คณะกรรมการฯ มองเศรษฐกิจไทยชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยใน 2H68 ชะลอลงจากปัจจัยชั่วคราวภาคการผลิตจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง และผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้ ส่วนปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวน้อยกว่าช่วง1H68 (3.0%) ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามแนวโน้มรายได้ และภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจาก TARIFF รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 โต +2.2%, ปี 2569 ปรับลดประมาณการโต +1.5% (เดิม +1.6%), ปี 2570 โต +2.3% ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ คาดปี 2569 อยู่ระดับ +0.3%YOY จากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลงและมาตรการช่วยค่าครองชีพของภาครัฐ

ส่วนไทม์ไลน์สำคัญที่นักลงทุนควรติดตามเพื่อดูทิศทางตลาด คือ 16 ก.พ. 69: ประกาศ GDP ไตรมาส 4/68,25ก.พ. 69: การประชุม กนง. ครั้งแรกของปี,18 พ.ค. 69: ประกาศ GDP ไตรมาส 1/69


แม้ว่ามุมมองเศรษฐกิจไทยจะดูซึม อย่างไรก็ตามการลดดอกเบี้ยของ กนง.ถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น (เพราะต้นทุนการเงินถูกลง และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจขึ้น) โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมินอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.25% ภายใต้สมมุติฐาน MEYG 5% และ EPS69F ที่ 90 บาท/หุ้น จะได้ระดับ P/E ที่ 16 เท่า จะได้ TARGET SET INDEX ปีหน้าที่ 1,440 จุด และหาก กนง.พิจารณาลดดอกเบี้ยอีกในปีหน้า ยิ่งทำให้ระดับMEYG ของ SET น่าสนใจขึ้นตามกลไก และสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่อยู่ระดับเพียง 4.1% เท่านั้น

 

SYNAPSE STRATEGY
หุ้นไทยปันผลสูง น่าจะผันผวนน้อยกว่าหุ้นโลก
หุ้น GROWT หุ้นเทคฯ, CRYPTO, หุ้นญี่ปุ่นยังผันผวน จากนักลงทุนรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้ และลดความเสี่ยงประเด็น YEN CARRY TRADE


ส่วนตลาดหุ้นไทยมี DIVIDEND YIELD 4.3% สูงกว่าหลายประเทศ (ดัชนี S&P500 1.2%) ได้แรงหนุนจากกนง.ลดดอกเบี้ย เหลือ 1.25% ทำให้ DIVIDEND YIELD GAP สูงขึ้นมาบริเวณ 3% เทียบเคียงปี 2016 และ 2022 ที่FUND FLOW ไหลเข้า

กลยุทธ์แนะนำหลบความผันผวนด้วยหุ้นที่มีเบาะรองรับจากการถูกบริษัททยอยซื้อหุ้นคืน อาทิ KBANK, CPF,SAPPE, MAJOR, MINT ฯลฯ


ส่วน TOPPICK เลือกหุ้นปันผลสูงที่ผู้บริหารซื้อคืนต่อเนื่อง MAJOR, CPF และยังชื่นชอบหุ้นท่องเที่ยว ERW

 

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้