Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews: เทพหุ้นบัวหลวง ชี้ตลาดหุ้นโลกผ่านช่วงปรับฐานมองปี 2569 เป็น "บวก" แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุน "กองทุนหุ้นเทคโนโลยี" รับเมกะเทรนด์ AI

86

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 15 ธันวาคม 2568)---------หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินตลาดหุ้นโลกปี 2569 ยังมีแนวโน้มเติบโต แม้ระยะสั้นจะปรับตัวลงราว 5-10% มองเป็นการปรับฐานเพื่อเตรียมขึ้นต่อ แนะนำหาจังหวะเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน "กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี" รับเมกะเทรนด์ AI ด้วยการจัดพอร์ตแบบ Core-Satellite ผ่าน 5 ธีมเด่น พร้อมแนะวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงปลาย 2568 ด้วยกองทุน RMF และ Thai ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการออมระยะยาวและเสริมความมั่นคงทางการเงินในอนาคต

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลกในปี 2569 แม้ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดมีการปรับฐานลงราว 5-10% จากแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีระหว่างเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2568 รวมถึงแรงกดดันด้านมูลค่าหุ้นที่สูง และปัจจัยมหภาคระยะสั้น อย่างไรก็ดี มองว่าการปรับตัวครั้งนี้เป็นเพียง Healthy Correction หรือการปรับฐานก่อนเข้าสู่รอบการฟื้นตัวครั้งใหม่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง, เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่เสี่ยงถดถอย และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้ดี

ดังนั้น บริษัทมองว่าเป็นจังหวะเหมาะสมในการเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน "กองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี" ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากกระแสการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทีม Wealth Research แนะนำกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนแบบ "Core-Satellite" เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายระยะยาวและการแสวงหาโอกาสระยะสั้น ผ่าน 5ธีมการลงทุนที่มีศักยภาพเติบโตในเมกะเทรนด์ ปี 2569 ได้แก่ AI Value Chain, Defense Tech, Quantum Computing, Health Tech และ Nuclear Energy โดยแบ่งสัดส่วนดังนี้


1. พอร์ตส่วนหลัก (Core) เน้นกองทุนใน 2 ธีมสำคัญประกอบด้วย
• "AI Value Chain" เช่น กองทุน ES-GTECH ลงทุนในกองทุนหลัก Polar Capital Global Technology Fund เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และเป็นบริษัทที่อยู่ในช่วงของการเติบโต NEW S-CURVE
• "Defense Tech" เช่น กองทุน LHSPACE-A ที่เน้นการลงทุนในเศรษฐกิจอวกาศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกองทุนดังกล่าวจะกระจายการลงทุน Infrastructure เทคโนโลยีการปล่อยยาน และดาวเทียม, Tech Enablers ไซเบอร์เทคโนโลยีและการสื่อสาร, Applications บริการเครือข่าย


2. พอร์ตส่วนเสริม (Satellite) เน้นกองทุนใน 3 ธีม เพื่อรับโอกาส Repricing ครั้งใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีเริ่มสร้างกระแสเงินสดและตลาดให้มูลค่าสูงขึ้น ประกอบด้วย
• "Quantum Computing" เช่น กองทุน LHQTUM-A ที่ลงทุนในบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับ Quantum & AI Ecosystem ครบวงจรตั้งแต่ผู้ผลิตชิป, ผู้สร้างฮาร์ดแวร์, ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์,
ผู้บริการคลาวด์ ทำให้ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน
• "Health Tech" เช่น กองทุน KKP GHC-A เน้นลงทุนหุ้น Healthcare ทั่วโลก ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่าน Janus Henderson Global Life Sciences Fund ชื่อดังด้าน Healthcare
• "Nuclear Energy" เช่น กองทุน PRINCIPAL GCLEAN-A ที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์ และยูเรเนียมทั่วโลก เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานนิวเคลียร์


นายชัยพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงปลายปี 2568 ผู้มีเงินได้สามารถใช้โอกาสจากภาวะตลาดผันผวน เพื่อวางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว ผ่านผลิตภัณฑ์ลงทุนเพื่อการออม 2 ประเภท ได้แก่

1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เหมาะสำหรับผู้วางแผนเกษียณ และต้องการกระจายการลงทุนไปตลาดต่างประเทศ โดยต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และถือถึงอายุ 55 ปี ใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน รวมไม่เกิน 500,000 บาท

2. กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้สิทธิ RMF ครบแล้ว และต้องการขยายโอกาสลดหย่อนเพิ่มเติม หรือสนใจลงทุนในหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่เข้าเกณฑ์ ESG โดยต้องถือครอง 5 ปี
(ไม่นับปีปฏิทิน) ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาท


"ในปีนี้ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจาก RMF และ Thai ESG ควบคู่กันได้ โดยเงินลงทุนในกองทุน Thai ESG จะถูกนับแยกออกจากการลงทุนในกองทุน RMF และกลุ่มกองทุนเพื่อเกษียณอื่น ๆ แต่ต้องไม่เกินวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดของ Thai ESG ทั้งนี้ กลยุทธ์วางแผนภาษีให้คุ้มค่า เราแนะนำลงทุนใน RMF เพื่อเปิดโอกาสลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี AI ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง ส่วน Thai ESG ควรใช้เป็นการลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนในไทย เพื่อทำให้พอร์ตกองทุนภาษีโดยรวมมีความสมดุลมากขึ้น ตัวอย่าง ผู้มีรายได้เและโบนัสปีละประมาณ 1,500,000 บาท โดยมีการจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 75,000 บาท จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 9,000 บาท และมีการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทั้ง RMF และ ThaiESG เต็มสิทธิ จะทำให้เสียภาษีในปีนั้นเพียง 32,150 บาท จากเดิมที่ไม่ลงทุนจะเสียภาษี 179,000 บาท ช่วยประหยัดภาษีได้ถึง 146,850 บาท" นายชัยพร กล่าว



---จบ---

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้