สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (19 พฤศจิกายน 2568 )-----Key Highlights:
- ธุรกิจโรงเรียนเอกชน แบ่งเป็น 3 Segments ได้แก่ โรงเรียนทั่วไป, นานาชาติ และเฉพาะทาง โดยกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีสุดในรอบ 3 ปีหลัง (2565-67) ได้แก่ โรงเรียนนานาชาติสะท้อนจากการมี Revenue Growth และ Net Profit Marginเฉลี่ยถึงปีละ 0% และ 10.2% ตามลำดับ สูงกว่าภาพรวมธุรกิจโรงเรียนเอกชนเกือบครึ่งหนึ่ง
- ประเด็นสำคัญที่ควรติดตามในระยะถัดไป คือ ภาวะ Aging Population ของไทย ที่จะเข้ามากดดันดีมานด์ในอนาคต โดย กรณีศึกษาในญี่ปุ่นพบ 2 แนวทางในการรับมือ ได้แก่ 1) การขยายสาขาไปยังเมืองอื่น ๆ และ 2) การสร้างเครือข่ายกับโรงเรียนต่างชาติเพื่อจับกลุ่มกำลังซื้อสูงและนำ Premium มาชดเชยกับจำนวนนักเรียนที่หายไป ซึ่งในกรณีของไทย พบว่าภาคตะวันออกเหมาะสมต่อการพัฒนาโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากมีความพร้อมทั้งมิติกำลังซื้อ และมิติความหนาแน่นของนักเรียน
- Krungthai COMPASS ประเมินธุรกิจโรงเรียนเอกชนในปี 2568-70 ว่าจะอยู่ในระดับ 2-3.4 หมื่นล้านบาท ขยายตัวปีละ 3.2% แต่ถือว่าชะลอตัวลงจากในอดีต ตามแรงกดดันของ Aging Population โดย การเติบโตจะมาจากการเพิ่มรายได้ต่อนักเรียนเป็นหลัก ทั้งการเพิ่มหลักสูตรพิเศษ หรือการขยายบริการเสริมรอบตัวนักเรียน
“โรงเรียนเอกชน” ถือเป็น 1 ในธุรกิจรากฐานสำคัญของประเทศ จากการมีความเชื่อมโยงโดยตรงต่อคุณภาพของทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว โดย บทความนี้ Krungthai COMPASS อยากชวนมาศึกษา Landscape ของธุรกิจโรงเรียนเอกชนของไทย พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไร? ภาวะ Aging Population จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจแค่ไหน? และผู้ประกอบการควรมีแนวทางปรับตัวอย่างไร?
โรงเรียนเอกชนในไทยแบ่งได้กี่ Segment ?
ธุรกิจโรงเรียนเอกชนไทยมีมูลค่าเกือบ 3.1 หมื่นล้านบาท1 ในปี 2567 จากผู้ประกอบการ 252 ราย1 โดยสามารถแบ่ง ได้เป็น 3 Segment ดังนี้
- โรงเรียนเอกชนทั่วไป เป็นกลุ่มที่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เน้นภาษาไทยเป็นหลักแต่บางแห่งอาจจัดสอนหลักสูตร 2 ภาษา มีมูลค่าตลาดรวมที่ 4,400 ล้านบาท จากผู้ประกอบการ 34 บริษัท
- โรงเรียนนานาชาติ2 มีผู้ประกอบการไม่มากนักเพียง 41 บริษัท แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดที่ราว 13,500 ล้านบาท โดยกลุ่มนี้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรต่างประเทศ Cambridge และ American Curriculum
- โรงเรียนเอกชนเฉพาะทาง มีผู้ประกอบการในตลาดมากสุดที่ 177 บริษัท และมีมูลค่าตลาดราว 13,000 ล้านบาท โดยเน้นการเรียนการสอนเฉพาะทาง อาทิ โรงเรียนอาชีวะ สอนพิเศษ หรือสอนการบิน
Segment ไหนโดดเด่นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
โรงเรียนนานาชาติ เติบโตสวย-กำไรเด่น
หากพิจารณาความโดดเด่นผ่านผลการดำเนินงานทั้งมิติการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) ควบคู่กับการทำกำไร (Net Profit Margin) ซึ่งในรอบปี 2565-67 ธุรกิจโรงเรียนเอกชนโดยรวมของไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.9% และ 6.1% ตามลำดับ
“โรงเรียนนานาชาติ” เป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นสุด โดยมี Revenue Growth ถึงปีละ 13.0% และ Net Profit Margin เฉลี่ย 10.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจ และสูงกว่า Segment อื่นๆ ทั้งโรงเรียนเอกชนทั่วไป และโรงเรียนเอกชนเฉพาะทางที่มี Revenue Growth เฉลี่ย 6.1% และ 7.1% รวมถึง Net Profit Margin เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 6.8% และ 5.3% ตามลำดับ
“โรงเรียนนานาชาติ” มีสัดส่วนผู้ประกอบการ Performance ดีที่สูงสุด
หากพิจารณาความโดดเด่นของแต่ละ Segment ในอีกมิติจากคำถามว่า “สัดส่วนผู้ประกอบการที่มีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดีของแต่ละ Segment แตกต่างกันอย่างไร?” Krungthai COMPASS ประเมินว่าโรงเรียนนานาชาติ มีสัดส่วนผู้ประกอบการที่ Performance ดี สูงสุด (สะท้อนจากมีรายได้เติบโตและมีกำไรสุทธิเป็นบวก 3 ปีติดต่อกัน)
- โรงเรียนนานาชาติ มีผู้ประกอบการ Performance ดี 12 บริษัท จาก 41 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 29.3%
- โรงเรียนเอกชนเฉพาะทาง มีผู้ประกอบการ Performance ดี 37 บริษัท จาก 177 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 9%
- โรงเรียนเอกชนทั่วไป มีผู้ประกอบการ Performance ดี 6 บริษัท จาก 34 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 6%
สาเหตุที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติมีความโดดเด่นทั้งด้านศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งนำมาสู่การมีผู้ประกอบการที่ Performance ดีอยู่ในระดับสูงมาจาก 3 แรงสนับสนุนหลัก ได้แก่
1.ฐานผู้เรียนมีกำลังซื้อสูง ไม่ค่อยอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจและระดับราคา (Low Price Sensitivity) โดยโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่เจาะกลุ่มครอบครัวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีรายได้กลางถึงสูง ที่มีความมั่งคั่ง ซึ่งสามารถจ่ายค่าเทอมระดับพรีเมียมได้
2.ความแตกต่างด้านภาพลักษณ์และคุณภาพ (Premium Positioning) โดยใช้หลักสูตรมาตรฐานสากล อาทิ IB, Cambridge และAmerican Curriculum ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และความแตกต่างจากโรงเรียนเอกชนทั่วไป
3.การบริหารจัดการรายได้และต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Operational Efficiency) อาทิ การแชร์บุคลากรร่วมกันแบบ Multi-Campus รวมถึงการสร้างรายได้จากบริการเสริมรอบตัวนักเรียน เช่น การจัดกิจกรรม After-school & Weekend Program อาทิ การสอนดนตรี กีฬา หรือ Coding เป็นต้น
3 ประเด็นคำถาม-คำตอบที่ควรติดตาม
1.ภาวะ Aging Population จะส่งผลกระทบธุรกิจโรงเรียนเอกชนหรือไม่?
Aging Population ถือเป็น 1 ในอุปสรรคสำคัญของธุรกิจโรงเรียนเอกชน โดย ในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้ คาดว่าประชากรในวัยเรียน (อายุ 3-17 ปี) ของไทยจะมีจำนวนลดลงเฉลี่ยปีละ -2.2% จาก 11.3 ล้านคน ในปี 2567 เหลือ 10.6-11.1 ล้านคน ในปี 2568-70 หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อประชากรที่น้อยลงจาก 15.8% เป็น 14.8%-15.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่องตามการคาดการณ์ของสหประชาชาติ (UN) ภายใต้ภาวะดังกล่าว Krungthai COMPASS มองว่าดีมานด์ของธุรกิจโรงเรียนเอกชนในอนาคตอาจต้องเผชิญแรงกดดันจากจำนวนผู้เรียนที่ลดลงตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป
ธุรกิจโรงเรียนเอกชนญี่ปุ่นซึ่งเผชิญภาวะ Aging Population มาก่อนไทยได้เลือกใช้กลยุทธ์ “การสร้างเครือข่ายกับโรงเรียนต่างชาติ” และ “การขยายสาขา” เพื่อลดผลกระทบจากจำนวนเด็กที่ลดลง อาทิ Harrow International School Appi Japan ได้เข้าเป็นเครือข่ายอย่างเป็นทางการของ Harrow School (UK) เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะครอบครัวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในไทยเช่นเดียวกัน เนื่องจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นทำให้มีจำนวน Expats เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือ Hokkaido International School เริ่มแรกมีสาขาหลักที่เมือง Sapporo แต่ในปี 2555 ทางโรงเรียนได้มีการขยายสาขาย่อยที่เมือง Niseko เพื่อลดการพึ่งพานักเรียนในเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียว
เมื่อการขยายสาขา และการเข้าสู่ Segment โรงเรียนนานาชาติ คือ 1 ในแนวทางในการรับมือกับจำนวนนักเรียนที่จะลดลงในอนาคต คำถามที่น่าสนใจต่อไป คือ
2) พื้นที่ไหนที่เหมาะสมต่อการขยายธุรกิจโดยเฉพาะ Segment โรงเรียนนานาชาติ ?
หากประเมินโอกาสในการขยายธุรกิจโรงเรียนเอกชนผ่าน 2 ตัวชี้วัด คือ 1) รายได้เฉลี่ยของประชากร (วัดกำลังซื้อในแต่ละภูมิภาค) และ 2) สัดส่วนจำนวนนักเรียนต่อโรงเรียน (วัด Potential Demand จากความหนาแน่นของจำนวนนักเรียนในแต่ละภูมิภาค) พบว่าภาคตะวันออก โดยเฉพาะ EEC โดดเด่นมากที่สุด
- ภาคตะวันออก โดดเด่นทั้งในมิติของรายได้ และ Potential Demand โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนเกือบ 5 แสนบาท/ปี สูงสุดในประเทศ และมีความหนาแน่นของจำนวนนักเรียน 294 คนต่อโรงเรียน สูงเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนว่าตลาดยังมีช่องว่างการเติบโต นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งส่งผลบวกต่อจำนวน Expats พื้นที่นี้จึงเหมาะต่อการพัฒนาโรงเรียนเอกชนในระดับกลาง-สูง
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลาดพรีเมียมที่มีการแข่งขันสูง ต้องใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง โดยพื้นที่นี้มีรายได้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 4.9 แสนบาท/ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศเกือบสองเท่าตัว และมีจำนวนนักเรียนเฉลี่ยต่อโรงเรียนสูงสุดในประเทศที่ 602 คนต่อแห่ง แต่ด้วยจำนวนผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก ทำให้พื้นที่นี้มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีโรงเรียนรวมทั้งสิ้น 926 แห่ง และในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนเอกชน มากถึง 654 แห่ง ซึ่งนับเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนโรงเรียนเอกชนมากที่สุดในประเทศ ทำให้การขยายธุรกิจในพื้นที่นี้ควรพิจารณาเลือกใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง ทั้งในด้านคุณภาพการศึกษา ยกระดับหลักสูตรการเรียนการสอนตามความสนใจ และภาพลักษณ์ของโรงเรียน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดระดับพรีเมียมที่มีผู้เล่นจำนวนมาก
- ภาคใต้ มีโอกาสเติบโตเฉพาะพื้นที่ แม้โดยรวมภูมิภาคนี้จะมีรายได้เฉลี่ยต่อคนไม่สูงนัก อยู่ที่ราว 1.5 แสนบาท/คน/ปี และมีจำนวนนักเรียนเฉลี่ยต่อโรงเรียน 237 คนต่อแห่ง สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศซึ่งอยู่ที่ราว 200 คนต่อโรงเรียนเล็กน้อย อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าบางจังหวัดกลับมีกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะภูเก็ตที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนถึง 1 แสนบาท/ปี และมีความหนาแน่นของจำนวนนักเรียนถึง 520 คนต่อโรงเรียน ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติพักอาศัยจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสขยายธุรกิจโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะนานาชาติ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของทั้งชาวไทยรายได้สูง และครอบครัวชาวต่างชาติได้
3) แล้วธุรกิจโรงเรียนเอกชนในระยะ 2-3 ปีหน้า จะมีแนวโน้มอย่างไร?
Krungthai COMPASS ประเมินว่าตลาดโรงเรียนเอกชนจะมีมูลค่า 3.2-3.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2568-70 หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 3.2% ชะลอตัวลงจากในอดีต ตามแรงกดดันของ Aging Populationโดย คาดว่าผู้ประกอบการจะสามารถเพิ่มรายได้ต่อจำนวนนักเรียนเพื่อชดเชยจำนวนนักเรียนที่ลดลงได้ เพราะแม้ว่าธุรกิจจะถูกกดดันจากแนวโน้มจำนวนนักเรียนเอกชนที่คาดว่าจะลดลงจากราว 2.05 ล้านคนในปี 2567 มาอยู่ในระดับ 1.94-2.00 ล้านคน ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ตามปัญหาโครงสร้างประชากรของไทยที่จะทำให้ประชากรในวัยเรียน (อายุ 3-17 ปี) จะมีจำนวนลดลงจาก 11.3 ล้านคน เหลือ 10.6-11.1 ล้านคน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจโรงเรียนเอกชนจะสามารถเพิ่ม Value-added ให้กับการบริการเพื่อชดเชยจำนวนนักเรียนที่ลดลง อาทิ 1) การเพิ่มหลักสูตรพิเศษอย่าง Bilingual หรือ International Program ผ่านการร่วมมือกับโรงเรียนต่างชาติเพื่อขยายฐานลูกค้าไปจับกลุ่มกำลังซื้อสูงและครอบครัวต่างชาติก็จะทำให้สามารถตั้งค่าเทอมได้สูงขึ้นหลายเท่าตัว
รวมถึง 2) การขยายรายได้จากบริการเสริมรอบตัวนักเรียน (Ancillary Revenue) เช่น การจัดทำ After-school & Weekend Program อาทิ การสอนดนตรี กีฬา หรือ Coding รวมถึงบริการอื่น ๆ เช่น Canteen, Shuttle Bus, Uniform และ School Camp/Trip เป็นต้น ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งของการทำรายได้เช่นเดียวกัน
Summary
Krungthai COMPASS แบ่งธุรกิจโรงเรียนเอกชนออกเป็น 3 Segments ได้แก่ โรงเรียนทั่วไป, โรงเรียนนานาชาติ และโรงเรียนเฉพาะทาง โดย 3 ปีหลังสุด (ปี 2565-67) Segment ที่มีผลดำเนินงานโดดเด่นคือ “โรงเรียนนานาชาติ” สะท้อนจากการมี Revenue Growth เฉลี่ยถึงปีละ 13.0% และมี Net Profit Margin เฉลี่ย 10.2% สูงกว่าธุรกิจโรงเรียนเอกชนโดยรวมที่ 7.9% และ 6.1% ตามลำดับ
สอดคล้องกับการประเมินรายบริษัทที่พบว่าโรงเรียนนานาชาติมีสัดส่วนผู้ประกอบการที่มี Performance ทางการเงินที่ดีถึง 29.3% สูงกว่าโรงเรียนเอกชนในภาพรวมที่ 21.8% เนื่องจากโรงเรียนนานาชาติมีข้อได้เปรียบหลัก คือ การมีฐานผู้เรียนเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้ไม่ค่อยอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่ธุรกิจควรติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะถัดไป คือ ภาวะ Aging Population ของไทยที่จะเข้ามากดดันดีมานด์ของธุรกิจในอนาคต โดยในระยะ 2-3 ปีต่อจากนี้ ประชากรไทยในวัยเรียน (อายุ 3-17 ปี) จะมีจำนวนลดลงจาก 11.3 ล้านคน ในปี 2567 เหลือ 10.6-11.1 ล้านคน ในปี 2568-70 ผู้ประกอบการจึงควรพิจารณากลยุทธ์เพื่อรองรับกับภาวะดังกล่าว
2 แนวทางหลักที่โรงเรียนญี่ปุ่นใช้ในการรับมือกับปัญหานักเรียนที่ลดลง ได้แก่ 1) การขยายสาขาไปที่เมืองอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจนมากเกินไป หรือ 2) สร้างเครือข่ายกับโรงเรียนต่างชาติ เพื่อจับกลุ่มกำลังซื้อสูง/ต่างชาติ และนำ Premium มาชดเชยจำนวนนักเรียนที่หายไป
โดยในกรณีของไทยประเมินว่าภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขยายสาขา โดยเฉพาะในกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากเป็นทำเลที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงทั้ง คนไทยที่มีรายได้ในระดับเทียบเท่ากับกรุงเทพฯ ขณะที่ดีมานด์ต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามจำนวน Expats ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐ นอกจากนี้ ภาคตะวันออกยังมีช่องว่างในการทำตลาดอยู่อีกมาก สะท้อนจากความหนาแน่นของจำนวนนักเรียนต่อโรงเรียนที่สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ
Krungthai COMPASS ประเมินมูลค่าธุรกิจโรงเรียนเอกชนในปี 2568-70 ว่าจะอยู่ในระดับ 3.2-3.4 หมื่นล้านบาท ขยายตัวปีละ 3.2% แต่ถือว่าชะลอตัวลงจากในอดีต ตามแรงกดดันของ Aging Population โดย การเติบโตจะมาจากการเพิ่มรายได้ต่อนักเรียนเป็นหลัก ทั้งการเพิ่มหลักสูตรพิเศษ หรือการขยายบริการเสริมรอบตัวนักเรียน