Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน

86

 

 


ความผันผวนกัดกินตลาดหุ้นทีละนิด

HORIZON MARKET VIEW
•วานนี้ตลาดหุ้นโลกย่อตัวลง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ร่วงลงราว -0.8% ถึง -2.0% ส่วนฝั่งยุโรปปรับตัวลงราว -0.2% ถึง -1.2% อีกทั้งเช้านี้ญี่ปุ่น -1.9% และเกาหลีใต้ -1.4%สะท้อนแรงเทขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันพุธ : รายงานผลประกอบการ NVIDIA ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญจากมูลค่าของบริษัท AI ที่สูงเกินจริง, FED จะเปิดเผยรายงานการประชุมเดือน ต.ค. 68 และในวันพฤหัสบดี รายงานตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. 68ซึ่งถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ และมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยของ FED ในช่วงที่เหลือของปีนี้
• นอกจากนี้ในฝั่งของญี่ปุ่นยังแรงกดดันจาก GDP 3Q68 อยู่ที่ -1.8%QOQ หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส จากผลกระทบเชิงลบจาก TARIFF ของทรัมป์


REGION RADAR
•ดัชนี HSCI รายงานรายได้และกำไร 3Q25 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาผสมผสาน โดยรายได้มีการเติบโตต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.5%แต่กำไรออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด 3.3% แต่ถ้ามองในมุมการเติบโตถือว่าดูดี โดยรายได้ +5.5% YOY และกำไร +9.9% YOY หนุนจากกลุ่ม FINANCIALS MATERIALS เป็นหลัก
• XPENG รายงานรายได้รวมในไตรมาส 3/25 ออกมาอยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านหยวน +102% YOY (ต่ำกว่าคาด 0.3%) ขณะที่ EPS อยู่ที่ -0.08 หยวน +90% YOY (สูงกว่าคาด 77%) แนะนำเก็งกำไร XPENG


THAI FOCUS
• เศรษฐกิจไทยเสี่ยงภาวะ TECHNICAL RECESSION หลังการเติบโต3Q/68 ชะลอตัวหนัก QOQ และตัวเลขออกมาต่ำตลาดคาด จากการหดตัวของการลงทุน-การใช้จ่ายของภาครัฐในยามที่รัฐบาลยังไม่มีเสถียรภาพ
• อย่างไรก็ตาม การเร่งเครื่องการเบิกจ่ายงบประมาณใหม่ของภาครัฐในช่วงปลายปี 2568 จนถึงต้นปี 2569 อาจเป็น 'พระเอก' ที่จะช่วยดึงเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะ TECHNICAL RECESSION และกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในระยะถัดไป

 


HORIZON MARKET VIEW
ตลาดหุ้นโลกเกิดแรงเทขายทำกำไรในช่วง WAIT & SEE
วานนี้ตลาดหุ้นโลกย่อตัวลง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ร่วงลงราว -0.8% ถึง -2.0% ส่วนฝั่งยุโรปปรับตัวลงราว -0.2%ถึง -1.2% อีกทั้งเช้านี้ญี่ปุ่น -1.9% และเกาหลีใต้ -1.4% สะท้อนแรงเทขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาสัปดาห์นี้ ได้แก่
• วันพุธ (19 พ.ย. 68) : รายงานผลประกอบการ NVIDIA ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญจากมูลค่าของบริษัท AI ที่สูงเกินจริง
• วันพุธ (19 พ.ย. 68) : FED จะเปิดเผยรายงานการประชุมเดือน ต.ค.68
• วันพฤหัสบดี (20 พ.ย. 68) : รายงานตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. 68 ซึ่งถูกเลื่อนออกไปเนื่องจาก
การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ และมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยของ FEDในช่วงที่เหลือของปีนี้

ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยของ FED มีความไม่แน่นอน โดยในมุมของตลาดฯ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงเกิด GOVERNMENT SHUTDOWN อีกทั้งท่าทีผู้ว่าการ FED ล่าสุดยังมีความเห็นต่างกันอาทิ PHILIP JEFFERSON (รองประธาน FED) มองว่าความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานมีแนวโน้มไปทางขาลง แต่เตือนให้ผู้กำหนดนโยบายดำเนินการอย่างช้าๆ ส่วน CHRISTOPHER WALLER (ผู้ว่าการ FED) สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยอ้างถึงตลาดแรงงานที่อ่อนแอ

นอกจากนี้ในฝั่งของญี่ปุ่นยังแรงกดดันจาก GDP 3Q68 อยู่ที่ -1.8%QOQ หดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส โดยมีปัจจัยฉุดรั้งจากทั้งการลงทุนในที่อยู่อาศัย -9.4%QOQ, การบริโภคภาคเอกชนแทบจะไม่ขยับ โดยเพิ่มขึ้นเพียง0.1%QOQ และที่สำคัญการส่งออก -1.2%QOQ เนื่องจากการส่งออกรถยนต์ซบเซาลง อันเป็นผลกระทบเชิงลบจาก TARIFF ของทรัมป

 


REGION RADAR
ภาพรวมกำไรตลาดหุ้น HONG KONG ยังดี ราคาลง ถือเป็นจังหวะสะสม
ดัชนีHANG SENG COMPOSITE INDEX – HSCI รายงานรายได้และกำไร 3Q25 ของบริษัทจดทะเบียน 128บริษัท จากทั้งหมด 245 บริษัท ออกมาผสมผสาน โดยรายได้มีการเติบโตต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.5% แต่กำไรออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด 3.3% แต่ถ้ามองในมุมการเติบโตถือว่าดูดี โดยรายได้ +5.5% YOY และกำไร +9.9%YOY หนุนจากกลุ่ม FINANCIALS MATERIALS เป็นหลัก

 

ซึ่งฝ่ายวิจัยฯของนำแสนอ หุ้น XPENG ในยามที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเกิน 15% ตั้งแต่ต้นสัปดาห์(WTD) แต่บริษัทรายงานรายได้รวมในไตรมาส 3/25 ออกมาอยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านหยวน +102% YOY (ต่ำกว่าคาด 0.3%)ขณะที่ EPS อยู่ที่ -0.08 หยวน +90% YOY (สูงกว่าคาด 77%) หนุนจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่โตแข็งแกร่ง+149% YOY และอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 20.1% (ตลาดคาดที่ระดับ 17.8%)

แนะนำเก็งกำไร XPENG โดยผลประกอบการในไตรมาส 3 ออกมาแข็งแกร่งหนุนจากการเติบโตจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และไตรมาส 4 คาดบริษัทมีแนวโน้มที่จะมีผลดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไรได้เป็นครั้งแรก

 


THAI FOCUS
GDP GROWTH ไทยไม่น่ากังวลใน 4Q68
สภาพัฒน์ประกาศ GDP 3Q25 ของไทยขยายตัว 1.2%YOY ลดลงจาก +2.8%YOY ใน 2Q25 และต่ำกว่าที่CONSENSUS คาดไว้ +1.6%YOY และเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสพลิกเป็น -0.6%QOQ จาก +0.6%QOQ ใน2Q25 นับเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการลงทุน-การใช้จ่ายของภาครัฐในยามที่รัฐบาลยังไม่มีเสถียรภาพ จึงมีการหดตัวอย่างรุนแรง -3.9%YOY และ -5.3%YOY ตามลำดับ แม้ว่าภาคส่วนอื่น ๆ เช่น การบริโภคเอกชน (CONSUMPTION) และการส่งออก (EXPORTS) จะยังคงขยายตัวได้ในระดับที่ดีก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นความกังวลต่อการเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค (TECHNICAL RECESSION) ถ้าหากไตรมาสถัดไป (4Q25) ยังคงมีการหดตัว QOQ อีกครั้ง จึงประเมินมีโอกาสสูงขึ้นที่ BOT อาจจะต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยรอบประชุม ธ.ค.25เพื่อผ่อนคลายความกดดันจากประเด็นดังกล่าว

อย่างไรก็ตามอีกมุมหนึ่ง หากพิจารณาจากประมาณการ GDP GROWTH ทั้งปีของ ธปท. และ สศช. ที่คาดไทยจะโต 2.2%YOY และ 2.0%YOY ตามลำดับ จะได้ตัวเลข GDP 4Q25 ที่ +1.1%QOQ และ +1.0%QOQตามลำดับ จึงมองว่าการเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค (TECHNICAL RECESSION) น่าจะเกิดได้น้อยอีกทั้งการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐฯในปีงบประมาณ 2568 มีแนวโน้มการเบิกจ่ายที่เร็วและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีงบประมาณก่อนหน้า (2567) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายกำลังได้รับการแก้ไข


รวมถึงการเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ 2569 ที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐเริ่มต้นปีงบประมาณถัดไป(ต.ค.68) เห็นอัตราการเติบโตที่ดีและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเดือน ต.ค. อยู่ที่10.67 หมื่นล้านบาท


SYNAPSE STRATEGY
ตลาดหุ้นโลกปรับฐาน มีความกังวล เรื่อง PRIVATE CREDIT รบกวน
ล่าสุดมีสัญญาณแปลกๆ จาก PRIVATE CREDIT โดยกำไร 3Q68 ของธุรกิจปล่อยกู้กลุ่ม BDC (BUSINESSDEVELOPMENT COMPANIES) ขนาดใหญ่สุด 14 แห่ง ในสหรัฐลดลงเฉลี่ย 14%YOY แม้วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง และ NPL ที่ยังทรงๆ อยู่ ซึ่งปกติจะดีต่อธุรกิจ แสดงว่าบริษัทอาจเริ่มกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคต และมีการรัดเข็มขัด โดยตั้งสำรองเพิ่มขึ้นได


พร้อมราคาหุ้นกลุ่มปล่อยกู้ BDC ย่อตัวลง -2.4%YTD สวนทางหุ้นกู้สหรัฐที่มักปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง +6.7%YTD ขณะที่ดัชนี S&P500 ที่ขึ้นมาแรง 14.7%YTD โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ทำให้เกิดความกังวลเรื่อง ปัญหาของ PRIVATE CREDIT ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนก่อนตลาดหุ้นปรับฐานใหญ่ในปี 2008ส่งผลให้หุ้นเทคฯ ช่วงนี้ผันผวน และถูกขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง


กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนตาม แนะนำถือเงินสดในพอร์ต 20% -30% เลือกหุ้นที่บริษัททยอยซื้อหุ้นคืนช่วงนี้เป็นเบาะรองรับความผันผวน อย่าง CPFเดือนนี้บริษัทซื้อหุ้นคืน 65 ล้านบาท มีต้นทุนเฉลี่ย 21.4 บาท, CPALL เดือนนี้บริษัทซื้อหุ้นคืน 178 ล้านบาท มีต้นทุนเฉลี่ย 44.5 บาท, BA เดือนนี้บริษัทซื้อหุ้นคืน 80 ล้านบาท มีต้นทุนเฉลี่ย 13.6 บาท, KKP เดือนนี้บริษัทซื้อหุ้นคืน 317 ล้านบาท มีต้นทุนเฉลี่ย 64.6 บาท

 

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไม่กระตุ้นไม่ขยาย By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็นข่าวสภาพัฒน์ฯ เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ชะลอตัวมาก โดยขยายตัวได้พียง 1.2 % .....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้