Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

SCB CIO มองกำไรบจ.สหรัฐฯไตรมาส3ดีกว่าคาดหนุนEPSปีนี้โตกว่า9% ชี้กลุ่มเทคโนโลยียังเด่นแนะเก็บเข้าพอร์ตพร้อมEMรับแรงหนุนจากกระแสAI

97

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(17 พฤศจิกายน 2568)--------SCB CIO มองผลประกอบการกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ไตรมาส 3/2568 มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด หนุน EPS ในปีนี้เติบโต 9-10% YoY การเกิดฟองสบู่ AI ยังไม่น่ากังวลเพราะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ส่วนมากยังใช้กระแสเงินสดและกำไรสะสมในการลงทุนเป็นหลัก SCB CIO ยังคงหนุนลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับธีม AI ในพอร์ตหลัก พร้อมเสริมด้วยหุ้นเทคโนโลยีโลกในพอร์ตระยะสั้น ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่าจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยและหยุดQTของFed ส่งผลบวกต่อตลาดเกิดใหม่ (EM)ทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้ จากสถิติปี 2540 -2568 ให้ผลตอบแทนประมาณ 15.5% และ 8.4% ตามลำดับ พร้อมแนะลงทุนในหุ้นจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ รับอานิสงส์จากธีม AI ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นวัฏจักร และแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้านทองคำ ยังคงต้องมีไว้ในพอร์ตหลัก แม้ระยะสั้นจะมีความผันผวนแต่ระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยประเมินว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นสหรัฐฯในไตรมาสที่ 3/2568 มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนหลักจาก เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังขยายตัวได้แม้ชะลอตัวลง จากนโยบายการเงินที่เริ่มผ่อนคลาย ตามแรงกดดันของตลาดแรงงานที่อ่อนตัว จึงเปิดทางให้ Fed ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง และกระแสลงทุนในเทคโนโลยี AI ที่ยังเร่งตัว ขณะที่ แนวโน้มทั้งปี 2568 คาดกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดฯ จะเติบโต 9-10%YoY และการฟื้นตัวของ EPS กำลังกระจายตัวเป็นวงกว้างสู่หลายภาคส่วน ซึ่งกลุ่มที่ได้ประโยชน์เด่น เป็นบริษัทที่ลงทุนเชิงรุกในโครงสร้างพื้นฐาน AI และมีการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

ในส่วนของราคาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ แม้จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากกระแสการลงทุนด้าน AI แต่ระดับ Valuation ปัจจุบันยังอยู่ในกรอบที่รองรับได้ ไม่ได้เกินพื้นฐานเหมือนยุคฟองสบู่ดอทคอม ขณะเดียวกัน ตลาดยังคาดว่า EPS ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯจะเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนอุปสงค์ที่แข็งแกร่งต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ยังใช้กระแสเงินสดและกำไรสะสม เป็นแหล่งทุนหลักในการขยายศักยภาพด้าน AI มากกว่าการพึ่งพาหนี้สิน ซึ่งแตกต่างจากช่วงฟองสบู่ดอทคอมที่หลายบริษัทลงทุนเกินตัวโดยการก่อหนี้จากการออกหุ้นกู้เป็นหลัก แม้ว่าควรจับตาความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และแนวโน้มการใช้หนี้ในบางบริษัทที่เริ่มสูงขึ้นก็ตาม ดังนั้น SCB CIO แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในพอร์ตหลัก พร้อมเสริมโอกาสระยะสั้น ด้วยการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ที่ได้แรงหนุนจากกระแส AI


ด้านเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า จากการที่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับราว3% ภายในเดือน ธ.ค. 2569 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 3.75% - 4.00% และ Fed จะหยุดการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening: QT) เพื่อลดแรงกดดันต่อสภาพคล่องของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความไม่สมดุลในโครงสร้างทางการคลังของสหรัฐฯและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ผลักดันให้ธนาคารกลางอื่นทั่วโลก เริ่มมีการใช้สกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการทำธุรกรรมทางการค้าเพิ่มขึ้น และลดบทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐฯในฐานะเงินสำรองของโลกลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นและพันธบัตรของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets: EM) โดยจากสถิติช่วงปี 2540-2568 พบว่า ในช่วงที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ตลาดหุ้นและพันธบัตร ในตลาด EM ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15.5% และ 8.4% ตามลำดับ


ขณะที่ประเทศในกลุ่ม EM ได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อลดลงและแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ทำให้ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศ EM สามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้มากขึ้น (Policy Spaces) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ แม้ว่าหลายประเทศจะลดอัตราดอกเบี้ยมาก่อนแล้ว และส่งผลให้ต้นทุนการเงินของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มประเทศ EM ลดลง ขณะที่ การเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของตลาดหุ้นกลุ่มประเทศ EM ในปี 2569 แม้จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2568 แต่ก็ยังคงสูงกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed markets: DM) ส่วนสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ผ่อนคลายลง ช่วยทำให้ความผันผวนของตลาดการเงินลดลง และช่วยเพิ่มความน่าสนใจลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ดังนั้น เราจึงมองว่า ตลาดหุ้น EM ในเอเชีย มีความน่าสนใจลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ในพอร์ตลงทุนหลัก ในฐานะที่ได้รับอานิสงส์หลักจากธีม AI ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัฏจักร และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อ


นอกจากนี้ SCB CIO มองว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน หลังขยายเวลาการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ เป็นเวลา 1 ปี จะทำให้เกิดเสถียรภาพของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งช่วยลดความผันผวน และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยคาดว่าอาจมีข้อตกลงการค้าเต็มรูปแบบในเดือน เม.ย. 2569 เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ มีแผนจะเยือนจีนอย่างเป็นทางการในช่วงดังกล่าว พร้อมเปิดทางให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เยือนสหรัฐฯ ในภายหลัง

ในส่วนของราคาทองคำนั้น SCB CIO ยังแนะนำลงทุนในพอร์ตหลักระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าราคาทองคำจะชะลอตัวในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น จากความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่แม้จะผ่อนคลายลง แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะยาวอยู่ และความต้องการของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะของกลุ่มประเทศ EM ที่ยังมีแนวโน้มกระจายความเสี่ยงการถือครองสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศไปยังทองคำอย่างต่อเนื่อง

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้