สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (14 พฤศจิกายน 2568 )-----บมจ.อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (IND) โชว์ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 มีกำไรสุทธิ  76.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150.52% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากงานที่มีอยู่ในมือ และโครงการใหม่  ฟากซีอีโอ "ดร.พรลภัส ณ ลำพูน" ประเมินผลงานไตรมาส 4/68  เติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์อุตสาหกรรมก่อสร้างภาครัฐฟื้น หนุนงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่สดใส รวมถึงทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ 2,249.25 ล้านบาท  (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) มั่นใจผลงานทั้งปีโตเกิน 10-15% จากปีก่อน

 

ดร.พรลภัส ณ ลำพูน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (IND)   เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568) ของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ  76.36  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 150.52% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 845.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 309.39 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57.71%  จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 536.12 ล้านบาท

"ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่  2,249.25 ล้านบาท (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2568)  โดยบริษัทฯ พร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ จากภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพรายได้และกำไรให้เติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางไว้"

 

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างยังมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการที่รัฐบาลมีแรงขับเคลื่อนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้มีงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ออกมา รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัว จึงเป็นสัญญาณบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัทฯ

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินจากภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างในส่วนของภาครัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากการที่รัฐบาลขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผลักดันให้มีงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ออกมา ทำให้มีโอกาสเข้าร่วมประมูลโครงการออกแบบและก่อสร้างใหม่ๆ เพิ่มอีกหลายโครงการ จึงคาดการณ์ว่าจะส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% เทียบกับปีที่ผ่านมา