Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนวโน้มธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย ปี 2569

71

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (14 พฤศจิกายน 2568 )-----•    ตลาดบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในปี 2569 คาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 47.2% ของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ไทยโดยรวม ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจไทยมีแนวโน้มหันมาเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แทนการลงทุนเอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเข้าถึง Solution AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลที่ผู้ให้บริการนำเสนอควบคู่กับการจัดเก็บข้อมูล


•    ในปี 2569 รายได้ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยคาดว่าจะขยายตัว 9% ตามความต้องการใช้งานที่มากขึ้นใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดภาคการเงิน และตลาดภาคค้าส่ง-ค้าปลีก ที่ขยายตัวได้ดีตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้จ่ายออนไลน์มากขึ้น ในขณะที่ตลาดภาคบริการสุขภาพ จะขยายตัวตามกระแสรักสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ รวมถึงการขยายตัวของบริการสุขภาพดิจิทัล


ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยกำลังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้รวมมีทิศทางเติบโตเฉลี่ย 11.1% ต่อปี ความต้องการบริการจัดเก็บข้อมูลในไทยส่วนใหญ่ราว 95% มาจากองค์กรธุรกิจเอกชน โดยเติบโตตามความเปลี่ยนแปลงในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ ทั้งเพื่อการวางแผนและการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะในปัจจุบันที่หลายองค์กรธุรกิจไทยเริ่มทดลองและนำเทคโนโลยี AI มาใช้ ส่งผลให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องประมวลผลและจัดเก็บขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มสูงขึ้น

องค์กรธุรกิจไทยเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แทนการลงทุนเอง (รูปที่ 2)

ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก หันมาเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกแทนการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เอง ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรและเงินลงทุนสูง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน  บุคคลากร และเทคโนโลยี สำหรับปี 2569 คาดว่าตลาดบริการดาต้าเซ็นเตอร์จะมีสัดส่วนสูงถึง 47.2% ของมูลค่าตลาดโดยรวม


นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจยังเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากผู้ให้บริการในปัจจุบันมักเปิดให้บริการ Solution สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ควบคู่ไปกับบริการจัดเก็บข้อมูล ทั้งนี้ ในปี 2568 องค์กรไทยกว่า 68% (เฉลี่ยโลก 46%) ได้นำ AI มาใช้แล้ว และมากกว่า 90% มีแผนจะนำมาใช้ภายใน 2 - 3 ปี ข้างหน้า


รายได้รวมธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยราว 73% มาจาก 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ภาคการเงินที่มีสัดส่วนตลาดสูงสุดราว 29% รองลงมาคือ ภาคค้าส่งและค้าปลีก 25% และภาคบริการสุขภาพ 19% (รูปที่ 4)

รายได้ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ยังคงเติบโตได้ดีในปี 2569 โดยได้แรงหนุนหลักจากภาคการเงิน และภาคค้าส่ง-ค้าปลีกที่ขยายตัวต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคบริการสุขภาพเติบโตตามกระแสรักสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ


รายได้ตลาดภาคการเงินคาดว่าจะขยายตัว 9.5% ในปี 2569 (รูปที่ 5)


ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับภาคการเงิน มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบชำระเงินสมัยใหม่ ได้แก่ PromptPay  และ e-Wallet  ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 92% ของจำนวนธุรกรรมชำระเงินของไทยในปัจจุบัน (รูปที่ 6) และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2569 จำนวนธุรกรรมโดยรวมผ่านระบบชำระเงินทั้งสองดังกล่าว คาดว่าจะเติบโตราว 13.3%



นอกจากนี้ การเปิดให้บริการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงกลางปี 2569 รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในภาคการเงิน เช่น ระบบแสกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรม ล้วนทำให้ความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มสูงขึ้น

รายได้ตลาดภาคค้าส่งและค้าปลีกคาดว่าจะขยายตัว 9.7% ในปี 2569 (รูปที่ 7)


ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับภาคค้าส่งและค้าปลีก มีแนวโน้มเติบโตตามการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดและอีคอมเมิร์ซ ที่คาดว่าจะขยายตัวราว 3.4% และ 5 – 8% ในปี 2569 ตามลำดับ ทำให้ความต้องการใช้งานบริการดาต้าเซ็นเตอร์เป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่มีปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นสูงในระยะเวลาอันสั้น เช่น เทศกาลวันหยุดหรือแคมเปญลดราคาครั้งใหญ่  เพราะบริการดังกล่าวมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บตามความต้องการได้ทันที  


การนำ AI มาช่วยในระบบแนะนำสินค้าสำหรับภาคค้าส่ง-ค้าปลีก ถือเป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากธุรกิจจำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้สามารถทำกลยุทธ์การตลาดได้เฉพาะเจาะจงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น
รายได้ตลาดภาคบริการสุขภาพคาดว่าจะขยายตัว 6.5% ในปี 2569 (รูปที่ 8)


ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับภาคบริการสุขภาพ มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนผู้ป่วยคนไทยที่มีทิศทางเติบโตราว 7% ต่อปี หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 (รูปที่ 9) ตามกระแสรักสุขภาพ และการเข้าสู่สังคมสูงอายุของไทย รวมถึงการขยายตัวของบริการสุขภาพดิจิทัล เช่น ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การรับ-ส่งยาผ่าน Health Rider และการออกใบรับรองแพทย์ในรูปแบบดิจิทัล


นอกจากนั้น เทคโนโลยี AI เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่งที่ทำให้ความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์จากภาคบริการสุขภาพขยายตัว เช่น AI Chatbot  ที่ต้องเก็บข้อมูลบทสนทนาและสุขภาพเพื่อการวินิจฉัยและติดตามผล เป็นต้น ส่งผลให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดเก็บเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงของธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยในระยะกลางถึงยาว


•    การบังคับใช้ พ.ร.บ. Climate Change อาจกดดันให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ต้องหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลในการประมวลผลข้อมูล โดยดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับหลายแสนครัวเรือนต่อปี  ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะอยู่ในระดับสูงหากต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ


•    โครงการ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) เพื่อเข้าถึงพลังงานสะอาดยังอยู่ในช่วงทดลองและมีปริมาณจำกัด จึงอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านต้นทุน และความน่าเชื่อถือของแหล่งไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ไม่สามารถวางแผนด้านพลังงานระยะยาวได้


•    การเข้าถึงน้ำที่เพียงพอและต่อเนื่อง เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์จำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณมาก สำหรับระบบระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ (Cooling Systems) หากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านน้ำอาจกระทบต่อการดำเนินงาน อีกทั้งการใช้น้ำในปริมาณสูงยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอาจนำไปสู่ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต


•    การแข่งขันของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้ให้บริการไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน


•    ปัญหาขาดแคลนแรงงานดิจิทัลขั้นสูงเป็นความท้าทายต่อธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ไทยยังผลิตบุคลากรเหล่านี้ไม่เพียงพอ สะท้อนจากการที่ผู้ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ข้ามชาติริเริ่มโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับบุคลากรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานที่ยังสูงกว่าที่มีในตลาด


•    เทคโนโลยีด้านวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ AI และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไว ทำให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มีความจำเป็นต้องติดตามและลงทุนเพิ่มเติมเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการอยู่เสมอ


•    การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ต้องพิจารณาถึง Internet Bandwidth ที่สามารถรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณข้อมูลที่ต้องเชื่อมต่อเข้ามาจัดเก็บในอนาคต ทำให้สถานที่ตั้งของดาต้าเซ็นเตอร์ต้องอยู่ใกล้ชุมสายอินเทอร์เน็ต


•    การรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตีทางไซเบอร์ อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของทั้งผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และลูกค้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ทำให้ต้องมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเป็นจำนวนมาก


อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ปุยนุ่น By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ สำรวจหุ้นไทยวันศุกร์ แต่ไม่สดใส SET ร่วงหล่น 20 จุด ขณะที่วอลุ่มเทรดเบาดังปุยนุ่น .....

คับคั่ง By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานงบการเงินไตรมาส3/68 ออกมาอย่างคับคั่ง บางบริษัทกำไรโต บ้างก็กำไรลดลง ....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้