Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

กกร. แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ “แรงงาน-อากาศ-โรงงาน” ชี้ควรประเมินผลกระทบรอบด้าน หวั่นบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน

100

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(12 พฤศจิกายน 2568)-------วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2568) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … 2) ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และ 3) ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร) กล่าวว่า ตามที่ สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ทั้ง 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 และอยู่ระหว่างเสนอสภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับ โดยมีการแก้ไขกฎหมาย อาทิ การกำหนดชั่วโมงการทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง การกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน และการเพิ่มสิทธิวันลาพักผ่อนประจำปี , การปรับปรุงสิทธิการลาหยุดเนื่องจากมีประจำเดือน การลาเพื่อดูแลบุคคล ในครอบครัว การจัดสถานที่และเวลาสำหรับการให้นมบุตรหรือน้ำนมบีบเก็บในสถานประกอบการ และการกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะ เป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน และกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี นั้น

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร) ได้รับข้อร้องเรียนและความกังวลจากสมาชิกทั่วประเทศ ทั้งจากหอการค้าจังหวัดมากกว่า 70 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ สมาคมการค้ามากกว่า 90 สมาคม และหอการค้าต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment RIA) อย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีหลายมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่มภาระต้นทุนการจ้างงานให้กับนายจ้างในภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดการลดลงของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย

ฉบับที่ 1 ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.จรัส คุ้มไข่น้ำ และคณะ โดยมีผลกระทบ 3 ด้าน ดังนี้
1) ความยืดหยุ่นทางการเงินของแรงงานไทยลดลง (Income Shock)
หากพิจารณาประเด็นการปรับกฎหมายคุ้มครองแรงงานใหม่ในส่วนการกำหนดชั่วโมงการทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง จาก 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะผลักดันให้แรงงานที่พึ่งพาการทำงาน 48 ชั่วโมงบวก OT ในการใช้ชีวิตประจำวัน จับจ่ายใช้สอย และชำระหนี้ ต้องหันไปพึ่งสินเชื่อนอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้กฎหมายที่เข้มงวดดังกล่าว จะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้ โดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดเล็ก หรือ SMEs รวมทั้งแรงงานในภาคเกษตร ภาคบริการ ร้านค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่จะลดการจ้างงาน จนไปสู่การจ้างงานนอกระบบหรือการจ้างงานผิดกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2) กำลังการผลิตของชาติลดลง
นโยบายลดชั่วโมงการทำงานที่ไม่มีกลไกที่ชัดเจนในการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผลิตภาพมวลรวมของประเทศลดลงหรือเลวร้ายลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะพบว่าผลิตภาพแรงงานไทยหดตัวเฉลี่ย -0.6% ต่อปี ในขณะที่แรงงานกว่า 60% ขาดทักษะพื้นฐานที่จะทำงานเสริมในด้านอื่นๆ เนื่องจากรายได้ที่หายไปจากการลดเวลาทำงาน 16.7% ทั้งนี้การลดชั่วโมงเวลาทำงานดังกล่าวไม่ได้เพิ่มผลิตภาพการผลิต แต่ทำให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยสูงขึ้น กระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกโดยรวมของประเทศ

3) ระบบการจ้างงานซึ่งไม่เกิดผลดีต่อลูกจ้าง กล่าวคือจะเกิดการจ้างงานนอกระบบ หรือการจ้างงานแบบกำหนดระยะเวลาหรือการจ้างงานแบบจ้างทำของ โดยจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างกำลังแรงงานในระบบ อาทิ แรงงานจะถูกผลักเข้าสู่ GIG Economy (การทำงานแบบอิสระ) ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้มักขาดหลักประกัน และผลประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งแรงงานจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด สะท้อนแรงงานจำนวนมากจะเข้าสู่วงจรหนี้และการกู้ยืมเพื่อเข้าสู่อาชีพ ได้แก่ ซื้อยานพาหนะ อุปกรณ์ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ถือว่าเป็นการก่อหนี้เพื่อการผลิต (Debt of Production) ที่เปราะบางมากที่สุด

ฉบับที่ 2 ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.วรรณวิภา ไม้สน และคณะ โดย กกร. คิดเห็นว่าการออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายเกินความจำเป็น เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานในปัจจุบันเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมและดูแลลูกจ้างดีแล้ว ทั้งในส่วนของพันธกรณีระหว่างประเทศของประเทศไทย การบัญญัติสิทธิลาพิเศษที่สำคัญสำหรับสตรีอาจจะถือเป็นการเลือกปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาฉบับที่ 111 โดยถือเป็นเอกสิทธิ์ที่เกินกว่ามาตรการพิเศษเพื่อการคุ้มครองหรือความช่วยเหลือที่อนุสัญญาอนุญาตกำหนดไว้ และยังอาจถือว่าไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ 100 เนื่องจากส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียม ความเสมอภาคและเป็นธรรมระหว่างลูกจ้างชายและหญิง ดังนั้นควรให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามหลักของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์แนะนำเป็นกรณีไป

ทั้งนี้ในส่วนการให้ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ที่พำนักอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือผู้ป่วยที่มีความต้องการการดูแลทางร่างกายและจิตใจ ปีละไม่เกิน 15 วันทำงานนั้น กกร. เห็นควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง เพราะบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เป็นถ้อยคำที่กว้างเกินไปทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ ถ้อยคำที่สมควรใช้ต้องชัดเจนและแน่นอน เช่น บิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยา เช่นเดียวกับถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 193

อีกทั้งการกำหนดให้มีรายละเอียดให้นายจ้างจัดพื้นที่ให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนม และกำหนดให้ลูกจ้างพักให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนมไม่น้อยกว่าสองครั้ง ครั้งละสามสิบนาที ในช่วงเวลาแปดชั่วโมงของการทำงาน ตลอดระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีหลังคลอด โดย กกร. เห็นว่าปัจจุบันผู้ประกอบการได้เข้าร่วมโครงการจัดตั้งมุมนมแม่ ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก ดังนั้นควรส่งเสริมความร่วมมือมากกว่า การออกกฎหมายบังคับและการออกกฎหมายเกินจำเป็น โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มแรงงานในภาคเกษตร ภาคบริการ ร้านค้าปลีกและค้าส่ง ไม่สามารถปฏิบัติได้ เป็นต้น

ฉบับที่ 3 ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.เซีย จำปาทอง และคณะ โดย กกร. เห็นว่า การกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการทำสัญญาเกินความจำเป็น และขัดต่อหลักเสรีภาพในการทำสัญญา

อีกทั้งการกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี โดย กกร. เห็นว่าการปรับอัตราจ้างขั้นต่ำย่อมขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนให้เห็นถึง ความสามารถในการจ่ายของนายจ้างและค่าครองชีพของลูกจ้างตามที่บัญญัติไว้แล้วในกฎหมายปัจจุบันโดยให้ความสำคัญกับคณะกรรมการค่าจ้างฯ คณะกรรมการไตรภาคีจังหวัดและมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เป็นต้น

ดร.พจน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการ กกร. สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากลหรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนการกลไกแรงงานสัมพันธ์ภายในองค์กรในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม เพื่อประเมินผลกระทบเชิงปริมาณและจัดทำมาตรการรองรับอย่างรอบคอบ สุดท้ายนี้ ขอย้ำให้เห็นว่า กระบวนการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก หรือกฎหมายมหาชน ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอและอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง

ดังนั้น กกร. จึงขอคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ทั้ง 3 ฉบับ ที่ไม่สอดรับกับข้อกำหนดองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน และเห็นควรให้มีการทำประชาพิจารณ์ใหม่อย่างรอบด้านทั้งให้มีตัวแทน สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด องค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง (ไตรภาคี) ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นตัวกลางในการดำเนินการดังกล่าว
--------------------------------------------------
ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงจุดยืนของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า เห็นด้วยในหลักการและบางมาตรการ แต่ควรปรับให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกฎหมายเดิม

กกร. ตระหนักกับปัญหามลพิษทางอากาศเป็นอย่างยิ่งและเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่มุ่งยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 แต่มีข้อกังวลเรื่องความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม เช่น พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 รวมถึงกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลมลพิษทางอากาศอยู่แล้ว ซึ่งอาจสร้างความซ้ำซ้อนด้านอำนาจหน้าที่ และเพิ่มต้นทุนต่อภาคธุรกิจโดยไม่จำเป็น

ดังนั้น กกร. จึงขอเสนอประเด็นสำคัญที่ควรทบทวน เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง ดังนี้
1. โครงสร้างคณะกรรมการและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน กกร. เสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการและองค์กรที่กำกับนโยบายบริหารจัดการอากาศสะอาด ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด ตามหลัก “การมีส่วนร่วมของผู้ถูกบังคับใช้กฎหมาย” เพื่อสะท้อนข้อมูลจากภาคการผลิต บริการ การเงิน และภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งช่วยให้การกำหนดนโยบายมีความสมดุล รอบด้าน และนำไปสู่มาตรการที่สามารถปฏิบัติได้จริง

2. เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ กกร. เห็นว่า “เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์” ในร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ.... อาจทับซ้อนกับกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ เชื้อเพลิงส่งเงินส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1-5 บาท/ลิตร ภาษีสรรพสามิต 5-6 บาท/ลิตร และส่งผลต่อต้นทุนทุกภาคส่วน การแก้ปัญหามลพิษ จึงควรมุ่งเน้นมาตรการสนับสนุนและจูงใจทางภาษีหรือการเงินในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ลดมลพิษ เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนปรับตัว แทนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อย หรือออกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ทันที

3. การจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด กองทุนมีวัตถุประสงค์ครอบคลุมถึง 17 ข้อ แต่ยังไม่มีลำดับความสำคัญหรือสัดส่วนการใช้เงินอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหามลพิษ และไม่ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามที่ควรจะเป็น จึงมีความกังวลว่าอาจไม่สามารถจัดตั้งกองทุนได้จริงในทางปฏิบัติ

4. อัตราโทษและบทกำหนดโทษ กกร. สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้ฝ่าฝืน แต่ร่างกฎหมายฯ ฉบับนี้มีการกำหนดอัตราโทษสูงกว่าฉบับอื่น ๆ ที่สภาผู้แทนราษฎรเคยรับหลักการทั้งโทษแพ่งและโทษอาญา อาทิ การกำหนดโทษทางอาญา แม้ว่าจะเกิดจากความประมาท จำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานอากาศสะอาดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินร้อยล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะในกรณีการกระทำโดยประมาท ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่ให้กำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง กกร. จึงเสนอให้ทบทวนระดับโทษให้สมดุลกับมาตรฐานสากล และควรมีระยะเวลาการปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้จริง

กกร. เห็นว่าการมีกฎหมายเพื่ออากาศสะอาดเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องยึดหลัก ไม่ซ้ำซ้อน ไม่เพิ่มภาระและสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ดังนั้น กกร. เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องจัดทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย (RIA) ตามมาตรฐานสากล ที่สามารถวัดผลได้ สำหรับกฎหมายที่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยหน่วยงานกลางที่มีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ
-----------------------

สำหรับ ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ได้กล่าวถึง ดังนี้
กกร. เข้าใจถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายโรงงานในประเด็นปัญหาต่างๆ เช่น โรงงานที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมตามที่เป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้ง กกร. ยังสนับสนุนให้มีการยกระดับมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม กกร. มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาขณะนี้ เนื่องจากประเด็นที่มีการเสนอแก้ไขในหลายประเด็น ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมไทย ลดขีดความสามารถในการแข่งขัน กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยมีข้อกังวลหลายประการ ดังนี้

1. การรื้อฟื้นระบบใบอนุญาตโรงงานแบบมีอายุ ขัดกับหลัก Ease of Doing Business
กกร. ไม่เห็นด้วยต่อแนวทางการนำระบบใบอนุญาตแบบมีอายุกลับมาใช้ เนื่องจากระบบดังกล่าวเคยสร้างปัญหาในอดีต ทั้งขั้นตอนการขออนุญาตที่ซับซ้อน ความล่าช้า ภาระด้านเอกสารเกินจำเป็น และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตซึ่งขัดต่อหลักการบริหารภาครัฐสมัยใหม่และแนวนโยบาย B-Ready (Ease of Doing Business) ที่รัฐบาลจะไม่สร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบธุรกิจโดยไม่จำเป็น และเป็นหลักการที่รัฐประกาศส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังส่งผลต่อคะแนนการประเมินด้านการเข้าสู่ธุรกิจ (Business Entry) ในปี 2569

การนำระบบใบอนุญาตกลับมาใช้ โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยในการตรวจสอบคัดกรองโรงงานที่มีปัญหา เป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกจุด เนื่องจากตามกฎหมายปัจจุบัน ภาครัฐมีอำนาจในการเข้าตรวจโรงงานได้อยู่แล้ว ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าโรงงานไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การรื้อฟื้นระบบการขออนุญาต จึงไม่จำเป็น และในทางกลับกันจะสร้าง “ความไม่แน่นอนทางธุรกิจ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อใบอนุญาตใกล้หมดอายุ อาจทำให้สถาบันการเงินและคู่ค้าอาจชะลอการพิจารณาเครดิตหรือการลงทุน อีกทั้งยังอาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ง่าย

2. การเพิ่มประเภท “โรงงานควบคุมพิเศษ” ควรจำกัดเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น
กกร. ไม่ขัดข้องต่อแนวความคิดในการกำหนดมาตรการพิเศษที่เข้มงวดขึ้น เพื่อใช้บังคับกับโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง แต่การใช้มาตรการดังกล่าว จะต้องจำกัดขอบเขตเฉพาะกับโรงงานควบคุมพิเศษประเภทที่เกี่ยวข้องกับของเสียอันตราย หรือที่มีความเสี่ยงเฉพาะด้านเท่านั้น หากเปิดกว้างให้เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับใช้กฎหมายในการออกกฎกระทรวงหรือประกาศเพิ่มเติมตามความจำเป็น อาจจะส่งผลให้ในอนาคต โรงงานทั่วไปที่ไม่ได้สร้างปัญหา อาจจะต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดจนเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ

3. การเพิ่มโทษอาญาต้องเป็นไปตามหลักการที่ชัดเจน
กกร. เห็นว่า การเพิ่มอัตราโทษหรือเปลี่ยนประเภทของโทษ โดยเฉพาะการเปลี่ยนโทษปรับเป็นโทษจำคุก ต้องมีข้อมูลเชิงประจักษ์รองรับว่าการบังคับโทษในปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาในปัจจุบันได้ และต้องอยู่บนหลักความได้สัดส่วน (Proportionality) และต้องใช้อย่างจำกัด เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ประกอบการ

การเพิ่มโทษโดยไม่มีข้อมูลรองรับ นอกจากจะละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ประกอบการ ยังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

4. การเปิดให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์โรงงาน มีข้อกังวลด้านความขัดแย้งและการละเมิดความลับทางการค้า
กกร. สนับสนุนหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่การเปิดให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์ภายในโรงงานโดยตรงนั้นไม่เหมาะสมในทางปฏิบัติ เพราะอาจกระทบต่อความลับทางการค้าและข้อมูลทางธุรกิจ รวมถึงอาจเกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับผู้ประกอบการโดยไม่จำเป็น

กกร. เห็นว่า ควรให้ภาครัฐทำหน้าที่เป็นคนกลางในการตรวจสอบ และสื่อสารให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างโปร่งใส อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม ควรกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าสังเกตการณ์และมาตรการคุ้มครองข้อมูลความลับทางการค้าและข้อมูลทางธุรกิจอย่างรัดกุมและชัดเจน

5. การให้โรงงานควบคุมพิเศษทำประกันภัย มีข้อกังวลด้านความพร้อมของตลาดประกันภัยในประเทศ
กกร. เห็นว่าตลาดประกันภัยในประเทศยังไม่พร้อมสำหรับการทำประกันในลักษณะนี้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะกับ SMEs ที่ต้องซื้อประกันภัยจากต่างประเทศในราคาสูง ซึ่งจะเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและลดความสามารถในการแข่งขัน ภาครัฐจึงควรเร่งพัฒนาตลาดประกันภัยภายในประเทศให้มีความพร้อมก่อนเริ่มบังคับใช้

6. การแก้ปัญหาควรมุ่งที่การบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่เพิ่มภาระใหม่ให้ภาคธุรกิจ
กกร. ขอเรียนว่าโรงงานส่วนใหญ่ในประเทศเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการดำเนินงานและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กกร. เห็นด้วยกับการดำเนินมาตรการกับโรงงานที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือก่อปัญหา แต่เห็นว่าไม่ควรกำหนดมาตรการใหม่ที่เป็นการเพิ่มภาระหรือสร้างอุปสรรคต่อโรงงานที่ปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากโรงงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องของกฎหมาย แต่เกิดจากการบังคับกฎหมาย และการดำเนินการตามกลไกที่มีอยู่ยังไม่ครบถ้วน เช่น ระบบ Self-Declare ที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ ภาครัฐจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาระบบ Self-Declare ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ตรวจโรงงาน แทนที่จะเพิ่มขั้นตอนและภาระให้ภาคอุตสาหกรรม

กกร. ขอยืนยันว่าการปรับปรุงกฎหมายโรงงานควรยึดหลักความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลกับการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไม่ใช่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการภาครัฐและประชาชนโดยไม่จำเป็น และขอให้มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน และจัดทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย (RIA) โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบทางด้านเศรษฐศาสตร์ โดยการคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ (Cost and Benefit) อย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่ากฎหมายใหม่นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ไม่สร้างภาระเกินสมควร และไม่บั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุนของประเทศเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ในช่วงท้าย กกร. ได้กล่าวเรียกร้องให้มีการทบทวนกระบวนการออกกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยเน้นย้ำว่า การออกกฎหมายใหม่ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ควรยึดหลักความโปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และจัดทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย (RIA) ตามหลักสากล เพื่อให้กฎหมายที่ประกาศใช้มีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองแรงงาน สิ่งแวดล้อม และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

งบไม่ดี ก็ลง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็น บริษัทจดทะเบียน หลายแห่งประกาศงบรวม ไตรมาส3ปีนี้ ออกมา กำไรลดลง กำไรหด ....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้