เข้าโซนผันผวน
HORIZON MARKET VIEW
•วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มเทคโนโลยียังปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี NASDAQ+0.5% และดัชนี S&P500 +0.17% จากกระแสบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เพิ่มเติม อาทิ AMAZON, MICROSOFT, ALPHABET
• หากอิงจากสถิติการเคลื่อนไหวในอดีตของ S&P500 ที่ปรับขึ้นมากกว่า 10% ก่อนสิ้นเดือน ต.ค. มักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือน พ.ย. +2.6% (ข้อมูลตั้งแต่ปี 1928)
• อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างออกไป สังเกตจากสินทรัพย์เสี่ยง อิงเทคฯ มีความผันผวนมากขึ้น ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี 2 ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ GOVERNMENT SHUTDOWN สหรัฐฯ เสี่ยงยาวนานสุดเป็นประวัติศาสตร์ (หากพ้น 4 พ.ย. 68) และ คำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯชี้ชะตาความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการเก็บภาษีทรัมป์(นัดไต่สวน 5 พ.ย. 68)
 
REGION RADAR
 •AMAZON (AMZN US) +4.0% ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์หลังบริษัท CLOUD ของทางบริษัทอย่าง AWS ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทาง OPENAI มูลค่า$3.8 หมื่นล้าน เพื่อเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้าน CLOUD
• ยอดส่งมอบรถยนต์ EV จีนเดือน ต.ค. ยังมีการเติบโต โดย BYD และLI AUTO มียอดส่งมอบรถยนต์ชะลอตัวลง ขณะที่ XPENG, XIAOMIและ NIO รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ที่แข็งแกร่ง หุ้นกลุ่ม EV แนะนำเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้น XPENG, XIAOMI80 และ NIO
 
SYNAPSE STRATEGY
• ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้น หลังหุ้นอิง AI รวมถึงคริปโต เริ่มถูกขายทำกำไร โดยนักลงทุนกังวล GOVERNMENT SHUTDOWN อาจนานสุดเป็นประวัติการณ์และทรัมป์มีโอกาสแพ้คดี TARIFFเพิ่มขึ้น
• MSCI ประกาศ REBALANCE เช้า 6 พ.ย. ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียใต้รวมถึงไทยมีโอกาสถูกลดน้ำหนัก หลังหุ้นเอเชียเหนือ 2 เดือนที่ผ่านมา +17% ถึง +32% OUTPERFORM กว่า เอเชียใต้มาก -5.3% ถึง+5.8% หุ้นเด่นยังชอบ CPF, TRUE, TOP, BLA, OR, OSP
THAI FOCUS
• ครม.เศรษฐกิจ เตรียมแก้ไขหนี้ภายในประเทศ เฟสแรกมูลหนี้ราว62,400 ล้านบาท(ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย) สำหรับหนี้เกิดก่อน30 ก.ย.68และใช้เงินจากการลดนำส่งกองทุน FIDF จาก 0.46% เหลือ0.23%
• หุ้นที่คาดได้ประโยชน์อาทิ1. กลุ่มธนาคารพาณิชย์ / สถาบันการเงิน(KBANK SCB BBL KTB TISCO) 2.กลุ่มบริษัทบริหารสินทรัพย์(AMC) / จัดการหนี้เสีย / ซื้อหนี้ (BAM) 3.กลุ่มสินเชื่อผู้บริโภค / รถ /บัตรเครดิต (MTC SAWAD AEONTS KTC TIDLOR)
 
HORIZON MARKET VIEW 
หุ้นกลุ่ม TECH ยังนำตลาด แต่ปัจจัยเสี่ยงก็ทิ้งไม่ได้
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มเทคโนโลยียังปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี NASDAQ +0.5% และดัชนี S&P500+0.17% จากกระแสบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เพิ่มเติม ซึ่งล่าสุด AMAZON ลงนามข้อตกลงมูลค่า 38,000 ล้านดอลลาร์ กับ OPENAI เพื่อใช้ GPU จาก NVIDIA ผ่าน AWS เป็นเวลา 7 ปี,MICROSOFT ลงทุนกว่า 9.7 พันล้านดอลลาร์ใน AI กับ IREN และอีก 7.9 พันล้านใน UAE, ALPHABETเตรียมออกพันธบัตรมูลค่า 17,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ลงทุนใน AI
นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังมากขึ้นในการปรับลดอกเบี้ยของ FED โดย ผลสำรวจ FEDWATCH TOOL เริ่มให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 65% (เดิม 63%) คาด FED ลดดอกเบี้ยในการประชุม ธ.ค. นี้หลัง ISM เผย PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯ เดือน ต.ค. 68 อยู่ที่ 48.7 จุด ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาดและ หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8
หากอิงจากสถิติการเคลื่อนไหวในอดีตของ S&P500 ที่ปรับขึ้นมากกว่า 10% ก่อนสิ้นเดือน ต.ค. มักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือน พ.ย. +2.6% (ข้อมูลตั้งแต่ปี 1928)
อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างออกไป สังเกตจากสินทรัพย์เสี่ยง อิงเทคฯ มีความผันผวนมากขึ้น ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี2 ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1. ผลกระทบจาก GOVERNMENT SHUTDOWN ของสหรัฐฯ รอบนี้ อาจยาวนานสุดเป็นประวัติศาสตร์หากผ่านพ้นวันที่ 4 พ.ย. 68 ไปแล้ว (เกิน 34 วัน) ซึ่งคาดกว่าจะกดดันการจ้างงานและภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมีนัยฯ
2. คำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ ชี้ชะตาความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลก ทั้งนี้ได้กำหนดการนัดไต่สวนก่อนในวันที่ 5 พ.ย. 68 ขณะที่ผลการสำรวจของ POLYMARKET คาดการณ์ว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ จะตัดสินให้ภาษีตอบโต้ของทรัมป์ “แพ้” มีความน่าจะเป็นสูงถึง 64% สำหรับผลกระทบที่ตามมา BLOOBERG คาดว่าสหรัฐฯ อาจคืนเงินให้บริษัทกว่า 140,000 ล้านดอลลาร์หลังภาษี IEEPA คิดเป็น 63% ของภาษีที่เรียกเก็บตั้งแต่ต้นปีและรายได้จากภาษีใหม่รวมกว่า 114,800 ล้านดอลลาร์
REGION RADAR 
OPENAI ประกาศความร่วมมือกับ AWS มูลค่ากว่า $3.8 หมื่นล้าน
AMAZON (AMZN US) +4.0% ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์หลังบริษัท CLOUD ของทางบริษัทอย่างAWS ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทาง OPENAI มูลค่า $3.8 หมื่นล้าน เพื่อเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้าน CLOUD ของ AWS โดยโครงสร้างพื้นฐานที่ AWS กำลังสร้างให้ OPENAI นี้ จะใช้สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนซึ่งเน้นประสิทธิภาพการประมวลผล AI สูงสุด เพื่อให้ระบบทั้งหมดเชื่อมต่อกันด้วย LATENCY ที่ต่ำที่สุด ทำให้OPENAI สามารถรัน WORKLOAD ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การให้บริการ CHATGPT ไปจนถึงการฝึกโมเดลยุคถัดไป
ยอดส่งมอบรถยนต์ EV จีนเดือน ต.ค. ยังมีการเติบโต โดย BYD และ LI AUTO มียอดส่งมอบรถยนต์ชะลอตัวลงที่ระดับ -12% YOY และ -38% YOY ขณะที่บริษัทที่รายงานยอดส่งมอบรถยนต์แข็งแกร่งได้แก่ XPENG ยอดส่งมอบรถยนต์อยู่ที่ 4.2 หมื่นคัน +190% YOY, XIAOMI ยอดส่งมอบรถยนต์อยู่ที่ +209% YOY และ NIO ยอดส่งมอบรถยนต์อยู่ที่ +42% YOY แนะนำเก็งกำไร XPENG XIAOMI80 และ NIO
THAI FOCUS 
ครม.เศรษฐกิจ เตรียมแก้ไขหนี้ภายในประเทศ ... ดีต่อหุ้นอะไรบ้าง
รัฐบาลเห็นชอบตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสีย (NPL) รายย่อย ที่ไม่มีหลักประกัน และมียอดหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยในเฟสแรกจะครอบคลุมประมาณ 2.36 ล้านบัญชี มูลหนี้ราว 62,400 ล้านบาทเป้าหมายเต็มของโครงการคือครอบคลุมประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี มีภาระหนี้รวมประมาณ122,000 ล้านบาท โดยโครงการนี้มุ่งช่วยลูกหนี้รายย่อยให้หลุดจากหนี้เสีย แล้วกลับเข้าสู่ระบบการเงินได้ โดยจะโอนบัญชีไปยัง AMC ที่ปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสม เช่น ลดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม ซึ่งแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการนี้ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน แต่ใช้เงินจากเงินลดการนำส่งกองทุน FIDF จาก 0.46% เหลือ 0.23%โครงการถูกออกแบบว่าเป็น “ครั้งเดียว” (ONE-OFF) สำหรับหนี้เกิดก่อน 30 ก.ย.68 เพื่อรักษาวินัยทางการเงินเพื่อไม่ให้ส่งสัญญาณเสียต่อลูกหนี้รายอื่นเกี่ยวกับวินัยทางการเงินโดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ ขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ 1. กลุ่มธนาคารพาณิชย์ / สถาบันการเงิน ช่วยลดแรงกดดันด้าน NPL และเพิ่มความคล่องตัวในการปล่อยสินเชื่อใหม่ (KBANK SCB BBL KTB TISCO)2.กลุ่มบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) / จัดการหนี้เสีย / ซื้อหนี้ถือเป็นโอกาสให้บริษัท AMC ได้พอร์ตหนี้เข้าใหม่ และทำงานได้มากขึ้น(BAM) 3.กลุ่มสินเชื่อผู้บริโภค / รถ / บัตรเครดิต ที่เกี่ยวข้องกับฐานหนี้รายย่อย(MTC SAWAD AEONTS KTCTIDLOR)
 
SYNAPSE STRATEGY 
ตลาดหุ้นเข้าใกล้ ZONE ผันผวนมากขึ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P500 ล่าสุดมีขนาด 60 ล้านล้านเหรียญ มีส่วนประกอบหุ้น MAGNIFICENT 7 ถึง 21.9 ล้านล้านเหรียญ มีสัดส่วนสูงถึง 36.2% (สัดส่วนขึ้นมา 2 เท่า เมื่อเทียบกับ 6 ปีที่แล้ว)
ขณะที่ปัจจุบันตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้น หลังหุ้นอิง AI รวมถึงตลาดคริปโต เริ่มถูกขายทำกำไร ในช่วงถัดไปนักลงทุนอาจให้น้ำหนัก กังวล GOVERNMENT SHUTDOWN นานสุดเป็นประวัติการณ์ กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดให้น้ำหนักทรัมป์มีโอกาสแพ้คดี TARIFF เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่รออย่า คือ MSCI ประกาศ REBALANCE ดัชนี เช้า 6 พ.ย. ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียใต้รวมถึงไทยมีโอกาสถูกลดน้ำหนัก หลังตลาดหุ้นเอเชียเหนือ 2 เดือนที่ผ่านมา +17% ถึง +32% OUTPERFORM กว่าเอเชียใต้มาก -5.3% ถึง +5.8%
สำหรับหุ้นเด่นยังคงชอบ CPF, TRUE, TOP, BLA, OR, OSP
 
 
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์