Equality for All
OR : บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก
3Q25 คาดกำไรสุทธิ 2,700 ลบ. ดีขึ้น +21% q-q แม้ปริมาณขายลดลงทั้งในและต่างประเทศ แต่อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยเพิ่มขึ้น :
กลุ่ม Mobility (สถานีบริการ) คาดปริมาณขายน้ำมัน 5,956 ล้านลิตร หด -7% q-q กลุ่มค้าปลีกปริมาณขายหด -4% q-q โดยการลดลงของปริมาณขายมาจากปัจจัยฤดูกาล ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมหดตัวเช่นกัน 9-10% q-q เพราะ OR ไม่ลดราคาแข่งกับรายอื่น ทำให้แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย/ ลิตร ปรับขึ้นอยู่ที่ 1.02 บาท/ ลิตรจาก 0.85 บาท/ ลิตร ในนั้นคาดจะมีกำไรจากสต็อก 570 ลบ. ตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น

กลุ่ม Lifestyle (อาหาร และเครื่องดื่ม) ปริมาณขายกาแฟยังโตต่อเนื่องเพิ่มเป็น 108 ล้านแก้วจาก 107 ล้านแก้ว ทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่หาก EBITDA margin คาดหดตัวลงเล็กน้อยจากธุรกิจที่ไม่ใช่ F&B หดตัวลง

กลุ่มต่างประเทศ คาดปริมาณขายน้ำมันลดลง -12% q-q ที่ 505 ล้านลิตร โดยกัมพูชาปริมาณขายหดแรง -50% q-q จากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ส่วน สปป.ลาวหด -10% q-q จากปัจจัยฤดูกาล มีเพียงฟิลิปปินส์ปริมาณขายเพิ่ม +10% q-q ขณะที่ยอดขายกาแฟลดลง -50% q-q จากไตรมาสก่อนที่ 8.4 ล้านแก้ว โดยใน 3Q25 ในกัมพูชา มีการปิดร้านกาแฟ 42 สาขา และสถานีบริการ 36 สาขา

ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร คาดเพิ่มขึ้น +2% q-q จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขาย และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น +17% q-q จากบริษัทร่วมแห่งหนึ่งของกลุ่มได้รับงานเพิ่มขึ้น คาดการดำเนินงานปกติจะมีกำไร 2,131 ลบ. +11% q-q และมีกำไรจากสต็อกราว 570 ลบ. ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ลบ. +21% q-q

สถานการณ์ในกัมพูชายังต้องรอดูต่อไป : สำหรับปัญหาความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชานั้น แม้จะมีสัดส่วนสถานีบริการแบบดีลเลอร์ (DODO) ถึง 85% ของสถานีบริการทั้งหมดก็ตาม แต่เริ่มเห็นการปิดตัวลงทั้งในส่วนสถานีบริการและร้านกาแฟตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในประเทศดังกล่าว
โดยล่าสุด OR เหลือจำนวนสถานีบริการทั้งสิ้น 155 สถานี แบ่งเป็น COCO 15 สถานี(บริหารเอง) และ DODO 140 สถานี(ดีลเลอร์บริหาร) ส่วนร้านกาแฟมีอยู่ทั้งสิ้น 217 ร้าน เป็น COCO 31 ร้าน และ DODO 186 ร้าน

ผบห. เผยว่าจะติดตามสถานการณ์ไปก่อนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่คาดว่าไม่ต้องมีการตั้งด้อยค่าใด ๆ เกิดขึ้นในกัมพูชา โดยยอดขายของกัมพูชาคิดเป็น 30% ของตลาดต่างประเทศ และคิดเป็นเพียง 2% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ EBITDA ในกัมพูชาคิดเป็น 3-5% ของภาพรวม (1,000 ลบ./ปี) โดยกรณีเลวร้ายสุดหากไม่สามารถดำเนินการต่อได้มูลค่าบัญชีในกัมพูชาอยู่ที่ราว 100 ล้านเหรียญ

เก็งกำไรงบได้
“แม้ได้รับผลกระทบจากปัญหากัมพูชาทำให้ยอดขายในต่างประเทศจะหดตัวแรงก็ตาม แต่จากการดำเนินงานในประเทศซึ่งเป็นตลาดหลักของ OR เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน q-q โดยเฉพาะกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้นซึ่งหนุนให้การดำเนินงานดีขึ้นเช่นกัน อีกทั้งเริ่มเห็นส่วนแบ่งการตลาด 8M25 กลุ่มค้าปลีกขยับขึ้นเป็น 35.8% จาก 35.4% ใน 1Q25
เราคาดผลกระทบต่อการแทรกแซงของรัฐบาลจะลดลงหลังฐานะกองทุนน้ำมันกลับมาเป็นบวกแล้ว ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรมีแนวโน้มดีขึ้น เว้นแต่จะถูกกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งอาจกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงได้
กลยุทธ์การลงทุนเก็งกำไรจากแนวโน้มงบ 3Q25 ที่จะออกมาดีทั้ง y-y และ q-q ได้ ”

นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.th