สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(26 ตุลาคม 2568)-------บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)DELTA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส3/68 ยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสน้ีอยู่ที่53,214ล้านบาท เพิ่มข้ึนร้อยละ23.1จากไตรมาสเดียวกนัของปีก่อนและเติบโตร้อยละ 19.6จากไตรมาสที่แล้ว ถือเป็นการเพิ่มข้ึนอย่างโดดเด่นจากการขับเคลื่อนโดยกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์กลุ่มโครงสร้างพ้ืนฐาน และกลุ่มโซลูชนั่ ระบบอัตโนมัติโดยสินค้าหลักระบบกำลังไฟสำหรับเซิร์ฟเวอร์
เน็ทเวอร์คกิ้งและดาต้าเซ็นเตอร์(Server and Networking Power, Datacenter Power) ถือเป็ นกลุ่มผลิตภัณฑ์ส าคัญที่เติบโตแข็งแกร่งต้งัแต่ตน้ ปีมาจนถึงไตรมาสปัจจุบัน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนโดย
ปัญญาประดิษฐ์อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการของตลาดมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือการเพิ่มกำลังไฟ และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อรองรับการประมวลผลของ AI บริษทั ฯ ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากดีมานด์ที่เร่งตัวขึ้น
สำหรับแอปพลิเคชัน AI ส่งผลให้มีการพัฒนาโซลูชั่นพลังงานสมรรถนะสูงเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานท้้งในส่วนโครงงานดาต้าเซ็นเตอร์ โซลูชั่น พลังงานโทรคมนาคม โซลูชั่น เครือข่ายและโซลูชั่น ระบบระบายความร้อนงานสารสนเทศ รวมถึงโซลูชั่นระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรมและอาคารอัจฉริยะล้วนมีการเติบโตที่ดีในไตรมาสนี้

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบกพลังไฟสพหรับยานยนต์ไฟฟ้ายังเผชิญกับความท้าทายของสภาวะอุปสงค์อ่อนตัว ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลง ท่ามกลางความผันผวนของอุตสาหกรรม EV ทั้นในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ภาพรวมธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงมีปัจจัยเฝ้าระวังที่เกิดจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงื่อนไขการค้าที่ไม่แน่นอน ทำให้บริษัทฯ มุ่งมั่น กลยุทธ์การขยายฐานการผลิตและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานตามแนวทางความยั่งยืน
เพื่อรักษาเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในสภาวการณ์ที่ท้าทายของอุตสาหกรรม

กำไรขั้นต้น ในไตรมาสนี้ มีจำนวน 15,085ล้านบาท ปรับตัวสูงข้ึนกว่าร้อยละ 26.5จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.8จากไตรมาสที่แล้ว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 28.3 สูงขึ้นจากไตรมาสที่แล้วและช่วงเวลาเดียวกันของปี ที่แล้ว สืบเนื่องจากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรดี ควบคู่กับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้สามารถกลับรายการตั้งสำรองมูลค่าสินค้าคงคลังได้ปริมาณมากในไตรมาสนี้

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 7,580ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 27.7จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 จากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากค่าสิทธิจ่ายเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับการผลิตและแนวโน้มการขายสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีจากสิทธิบัตรของบริษัทแม่ในไต้หวัน นอกจากนี้บริษทั ฯ บันทึกค่าใช้จ่ายด้านการขายในส่วนภาษีศุลกากรเพิ่มข้ึนเพราะตลาดสหรัฐเริ่มประกาศใช้นโยบายภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียมในไตรมาสนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ เกิดค่าใช้จ่ายอากรเพื่อส่งออกสินค้าภายใต้ข้อตกลงร่วมกันในการเรียกเก็บคืนจากลูกค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งจำนวนเงินส่วนนี้จะถูกบันทึกในรายไดต้ามหลัก IFRSอย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นได้ดีทั้งในด้านการบริหารและการลงทุนวิจัยพัฒนา ทำให้มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อฐานรายได้ปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา

กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้มีจำนวน 7,504ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 14.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.9ของงวดเดียวกันในปีก่อน และร้อยละ 11.5ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากประสิทธิภาพการในบริหารค่าใช้จ่ายพร้อมขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขาย นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการบันทึกรายรับอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ เงินชดเชยจากการผิดสัญญาทางการค้า และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ร่วมกับการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ และภาษีส่วนเพิ่มตามกฎ OECD ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ 7,441ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์คร้ังใหม่โดยเพิ่มข้ึนจากไตรมาสก่อนร้อยละ60.8 และปรับตัวดีขึ้นจากปี ที่แล้วร้อยละ 25.9คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 14.0และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.60 บาท เทียบกับ 0.47 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกัน
ของปีก่อน