สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 22 ตุลาคม 2568)--------แม้รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอ แต่กลุ่มแบงก์ยังสามารถประคองผลการดำเนินงานไว้ได้ในไตรมาส 3/2568 เนื่องจากมีแรงหนุนจากกำไรจากเงินลงทุน การเพิ่มขึ้นของ FVTPL และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เชื่อมโยงกับสภาวะตลาดเงินตลาดทุน
• ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน และ NIM กลุ่มแบงก์ปรับตัวลงมาแล้ว 4 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่ แม้ว่าสัดส่วน NPL ขยับขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3/2568 แต่ปัญหาคุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นติดตามต่อเนื่อง
• ภาพงบการเงินรวมของกลุ่มแบงก์ 9 แห่งอาจสะท้อนว่า ข้อมูลของระบบแบงก์ไทย 17 แห่งที่จะทยอยประกาศออกมาหลังจากนี้น่าจะมีภาพที่คล้ายคลึงกัน และเมื่อต่อภาพไปในช่วงที่เหลือของปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อรายได้จากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อ และเมื่อรวมกับผลของทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับลดลงอีกครั้งก่อนสิ้นปี อาจทำให้ NIM ของระบบแบงก์ไทยชะลอลงต่อเนื่องไปอยู่ต่ำว่าระดับ 2.72% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568
จากข้อมูลงบการเงินไตรมาส 3/2568 ของกลุ่มแบงก์ (9 แห่ง) ที่จดทะเบียนใน SET สะท้อนว่า กลุ่มแบงก์ยังสามารถประคองผลการดำเนินงานไว้ได้ แม้รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่ขยายตัวแบบไม่ทั่วถึง ยังคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการประคองรายได้ของของกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับตัวลงมาแล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน (นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2567-ไตรมาส 3/2568) อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า กำไรจากเงินลงทุนและกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ปรับเพิ่มสูงขึ้น และมีส่วนช่วยหนุนผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตลอดหลายไตรมาสที่ผ่านมา (รูปที่ 1) โดยล่าสุดในไตรมาส 3/2568 รายการกำไรจากเงินลงทุน และ FVTPL ขยับขึ้นไปสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22.4% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ
นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมบางรายการ เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจการจัดการกองทุน และค่าธรรมเนียมการให้บริการด้าน Wealth Management ที่ได้รับอานิสงส์จากสภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่เอื้ออำนวย ก็มีส่วนช่วยเพิ่มแรงหนุนต่อผลการดำเนินงานด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สินเชื่อหดตัวลงต่อเนื่องและภาพรวมของ NIM กลุ่มแบงก์ยังชะลอลง
ยอดคงค้างสินเชื่อจากงบการเงินรวม 9 แห่ง ณ ไตรมาส 3/2568 หดตัวลง 1.2% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ต่อเนื่องจากที่หดตัว 1.7% YoY ในไตรมาส 2/2568 โดยนอกจากภาพรวมสินเชื่อจะได้รับแรงกดดันจากผลของการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และการระมัดระวังความเสี่ยงด้านเครดิตในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินแล้ว ความต้องการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจเพื่อลงทุนในระยะยาวก็ปรับตัวลดลงตามสัญญาณการฟื้นตัวล่าช้าและความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน
ผลจากสถานการณ์สินเชื่อที่อ่อนแอ เมื่อรวมเข้ากับผลของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนต.ค. 2567 และการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าโครงการคุณสู้เราช่วย ทำให้ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield on Loans) ปรับลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost) ซึ่งสะท้อนผ่านการชะลอตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ที่ปรับลดลงมาแล้ว 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดย NIM ในไตรมาส 3/2568 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.18% จาก 3.22% ในไตรมาสที่ 2/2568
นอกจากนี้ ปัญหาคุณภาพสินเชื่อยังคงต้องการการดูแลต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL ratio ตามข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ขยับสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยมาที่ 3.18% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/2568 จากระดับ 3.16% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2568 (รูปที่ 2) แต่สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต หรือ Stage 2 ratio ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.38% ของสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 3/2568 สะท้อนว่า คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังมีความเสี่ยงที่จะด้อยลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากแนวโน้มเศรษฐกิจและรายได้ภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ และมีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
ต่อภาพไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568...สถานการณ์ยังท้าทาย
จากข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์และบริษัทย่อย 9 แห่งที่มีสัญญาณอ่อนแอดังกล่าวข้างต้น สะท้อนว่า ข้อมูลสถานการณ์ภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง (ระบบแบงก์ไทย) ที่จะทยอยรายงานตามมาคงจะให้ภาพที่คล้ายคลึงกัน และเมื่อต่อภาพไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มสูงขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งน่าจะกลับมามีแนวทางการตั้งสำรองฯ ที่ระมัดระวังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทยซึ่งอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการประคองผลการดำเนินงานของระบบแบงก์ไทย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมบางตัวที่ต้องพึ่งพาสภาวะที่เอื้อของตลาดการเงิน รวมไปถึงรายได้จากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อ และเมื่อรวมกับผลของทิศทางดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับลดลงอีกก่อนสิ้นปี อาจทำให้ NIM ของระบบแบงก์ไทยชะลอลงไปอยู่ต่ำว่าระดับ 2.72% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 (เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ NIM ของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 3/2568 ที่ 2.80% และตัวเลขจริงของ NIM ในไตรมาส 2/2568 ที่ 2.84%) ขณะที่ คาดว่า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ของระบบแบงก์ไทยน่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ และปิดปี 2568 ที่ระดับประมาณ 1.27% ใกล้เคียงกับปี 2567
ซึ่งทิศทางเหล่านี้ ทำให้โจทย์หลักของแบงก์จะกลับมาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่นๆ เฉพาะหน้า เพื่อประคองความสามารถในการทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลงนี้