สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 21 ตุลาคม 2568)----ในไตรมาส 3 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตามภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าของประเทศคู่ค้าที่เริ่มชะลอลง ขณะเดียวกันภาคบริการซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังคงเผชิญแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนภาวะอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแรง ขณะที่มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของภาครัฐมีข้อจำกัดจาก
ด้านงบประมาณและระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ขีดความสามารถในการพยุงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจลดลง โดยรวมเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างภายใน ล้วนเป็นปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปยังคงเปราะบาง
ท่ามกลางความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก การเชื่อมโยงทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก การปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น และความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรม สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของโลกที่ทำให้องค์กรทุกขนาดต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จในบริบทนี้ ธนาคารกรุงเทพมุ่งมั่นให้คำปรึกษาและดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม พร้อมยืนเคียงข้างลูกค้าในฐานะ "เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน" ทั้งด้านเงินทุนและองค์ความรู้ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงสนับสนุนธุรกิจให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปต่างประเทศผ่านการดำเนินกลยุทธ์ Regionalization ตลอดจนส่งเสริมนโยบายของภาครัฐในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย เช่น สนับสนุนโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้ให้สามารถฟื้นตัวได้ในระยะยาว ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) และมุ่งมั่นให้บริการทางการเงินที่รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการเติบโตอย่างยั่งยืน
ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2568 จำนวน 38,247 ล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2568 จำนวน 38,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ ด้วยการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน โดยธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 94,364 ล้านบาทและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.81 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ยุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงเล็กน้อยจากบริการธุรกรรมผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม ทั้งนี้ ธนาคารยังคงพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม
ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็นร้อยละ 44.7 นอกจากนี้ จากการที่ธนาคารตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 ลดลงจากไตรมาสก่อน ทำให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับ 9 เดือนปี 2568 มีจำนวน 29,549 ล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,606,661 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.2 จากสิ้นปีก่อน โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ยังคงมีการเติบโต สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 294.2 เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 จำนวน 3,174,287 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 82.1 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 22.6 ร้อยละ 18.0 และร้อยละ 18.0 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด