สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(17 ตุลาคม 2568)-------คณะรัฐมนตรีของไทยได้อนุมัติวงเงินงบลงทุนมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท สำหรับรัฐวิสาหกิจ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ประเมินว่าแผนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ได้ราว 0.3% ในปี 2026 การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2025 ถูกปรับให้อยู่ในช่วง 2% ถึง 2.2% หลังจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับลดประมาณการ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจปรับลดได้หากมีความจำเป็น นอกจากนี้ แผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังดำเนินควบคู่กับโครงการอุดหนุนผู้บริโภคมูลค่า 44,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง
ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท ร่วมกับท่าทีของธนาคารกลางที่พร้อมผ่อนคลายนโยบายจากระดับดอกเบี้ย 1.50% ถือเป็นมาตรการตอบสนองเชิงรอบเศรษฐกิจที่มีความน่าเชื่อถือ แต่สิ่งสำคัญคือ การดำเนินงานต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงจุด โดยโครงการต่าง ๆ ควรตอบโจทย์ข้อจำกัดด้านศักยภาพของประเทศ
ความท้าทาย: การประสานนโยบายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่หลากหลาย
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2025 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2.8% จาก 3.2% ในไตรมาสแรก โดยการบริโภคภาคเอกชนลดลงเหลือเพียง 2.1% แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสามครั้งในปีนี้ จาก 2.5% เหลือ 1.5% แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยตลอด 12 เดือน (ถึงกรกฎาคม 2025) ยังคงอยู่ที่ 0.5% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่เพียง 0.9% ในช่วงเดียวกัน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และทรงตัวอยู่บริเวณ 32.5 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะ“สองความเร็ว (Two-Speed Economy)” โดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้นกว่า 125% คิดเป็นมูลค่ากว่า 225.5 พันล้านบาท ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังคงกดดัน ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกและภาคการท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเท่านั้น การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายงบประมาณที่ตรงเวลา จะช่วยสนับสนุนสภาพคล่องโดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงิน ขณะนี้เครื่องยนต์ภาคการค้าของไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่โลกที่มีส่วนต่างกำไรแคบลง การเติบโตของการส่งออกในไตรมาสที่สองที่ขยายตัวในอัตราสองหลัก ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งคำสั่งซื้อก่อนถึงกำหนดเก็บภาษีนำเข้า ดังนั้นแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะต่อไปจะต้องอาศัยการวางตำแหน่งเชิงคุณภาพ มากกว่าการพึ่งพาวัฏจักรเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
เกณฑ์แห่งความสำเร็จ: ปัจจัยชี้วัดการดำเนินงาน
กรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาทที่เพิ่งได้รับอนุมัติ พร้อมด้วยโครงการอุดหนุนผู้บริโภคมูลค่า 44,000 ล้านบาท ถูกออกแบบมาเพื่อพยุงอุปสงค์ในช่วงต้นปี 2026 ควบคู่กับการเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนดังกล่าวขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความรวดเร็วในการเบิกจ่ายงบประมาณ ความสามารถของการใช้จ่ายในการแก้ปัญหาคอขวดทางศักยภาพจริงของประเทศ และศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนมาร่วมขับเคลื่อนการเติบโตเพิ่มเติม
ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐที่มุ่งขจัดข้อจำกัดและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ถือเป็นกลไกที่สร้างผลคูณทางเศรษฐกิจได้อย่างทรงพลัง ความแตกต่างระหว่างการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตกับการกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้น เป็นประเด็นสำคัญที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ การลงทุนที่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ เร่งกระบวนการดำเนินงาน และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนกว่า ทั้งนี้ ความชัดเจนของแผนโครงการและการเบิกจ่ายที่ทันเวลา จะเป็นปัจจัยชี้ขาดว่า ประเทศไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.3% ได้มากเพียงใด
ประเด็นสำคัญ: การรักษาแรงขับเคลื่อนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
วิธีที่รัฐวิสาหกิจนำเงินลงทุนจำนวนนี้ไปใช้ จะเป็นสัญญาณสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ ว่าประเทศไทยยังคงมีสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่มั่นคงและน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือว่าพวกเขาควรหันไปลงทุนในเวียดนามและประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ในภูมิภาคแทน ในขณะที่ ความได้เปรียบด้านราคากำลังลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ความสามารถในการแข่งขันของไทยจึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ความชัดเจนของกฎระเบียบ และคุณภาพของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ มากกว่าปัจจัยด้านต้นทุนเพียงอย่างเดียว
ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจที่สามารถแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน จะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอานิสงส์จากค่าเงิน ขณะที่การแข่งขันในภูมิภาคกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น คุณภาพของการดำเนินงานจะเป็นปัจจัยสำคัญที่แยกผู้ชนะออกจากผู้ตาม”
โอกาสเชิงกลยุทธ์: การวางตำแหน่งเพื่ออนาคต
การลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังเปิดโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการวางตำแหน่งประเทศในระยะยาว รายงานวิเคราะห์จากหลายสถาบันระดับนานาชาติ รวมถึงการประเมินล่าสุดของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า การลงทุนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถ (capacity-building) สามารถสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน การลดต้นทุนการดำเนินงาน และการเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (supply-chain resilience) จะช่วยสร้างเงื่อนไขเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งตอบสนองต่อมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่นักลงทุนและพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น
ซามูเอล เฮิร์ตซ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group กล่าวสรุปว่า การใช้เงินทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นนโยบายอุตสาหกรรมที่สร้างประโยชน์โดยตรงต่อภาคการส่งออก การคัดเลือกโครงการอย่างโปร่งใส การดำเนินงานที่รวดเร็ว และการวัดผลที่ชัดเจน จะช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ผู้ผลิตของไทยสามารถยกระดับสู่ตลาดพรีเมียมในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ได้ แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า เงินลงทุนมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท จะถูกนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดในวันนี้ เพราะสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนด ‘ความสามารถในการแข่งขัน’ ของประเทศไทยในวันพรุ่งนี้
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: บทความนี้สะท้อนมุมมองของ EBC Financial Group (SVG) LLC และมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น มิใช่คำแนะนำด้านการเงินหรือการลงทุน การซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (CFD) และอัตราแลกเปลี่ยน (FX) มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นทั้งหมดหรือมากกว่า โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน EBC Financial Group และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการอ้างอิงข้อมูลนี้