สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (15 ตุลาคม 2568 )-----กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยภาพรวมธุรกิจไทยเดือนกันยายน 2568 มีทิศทางเติบโตต่อเนื่องสะท้อนจากตัวเลขธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,156 ราย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตัวเลขจัดตั้งใหม่ไตรมาส 3 มีจำนวน 23,507 ราย ชี้ให้เห็นถึงการขยับตัวขึ้นของเศรษฐกิจไทย ด้านตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่รวม 67,345 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนกว่า 2.14 แสนล้านบาท และพบว่านักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทย โดยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจรวม 770 ราย เงินลงทุนกว่า 2.53 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 88% จากปี 2567 โดยมีญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน เป็นประเทศที่นำเงินมาลงทุนสูงสุด สะท้อนภาพไทยเป็นจุดหมายการลงทุนสำคัญของภูมิภาค
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกันยายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,156 ราย เพิ่มขึ้น 515 ราย (6.74%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (7,641 ราย) และเพิ่มขึ้น 289 ราย (3.67%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (7,867 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 19,867 ล้านบาท ลดลง 3,322 ล้านบาท (-14.32%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (23,189 ล้านบาท) และลดลง 2,181 ล้านบาท (-9.89%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (22,049 ล้านบาท)
อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าวต่อว่า ภาพรวมการจัดตั้งธุรกิจใหม่ช่วงไตรมาส 3/2568 (กรกฎาคม-กันยายน 2568) มีจำนวนรวม 23,507 ราย เพิ่มขึ้น 3,492 ราย (17.45%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (20,015 ราย) และเพิ่มขึ้น 204 ราย (0.88%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (23,303 ราย) มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมกว่า 65,074 ล้านบาท ลดลง 4,146 ล้านบาท (-5.99%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (69,220 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้น 1,671 ล้านบาท (2.64%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (63,403 ล้านบาท) ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์พบว่า ไตรมาส 3 ปี 2568 มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงขึ้นใกล้เคียงไตรมาส 1 ซึ่งโดยปกติแล้วแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจใหม่จะสูงที่สุดในไตรมาส 1 และลดลงในไตรมาสถัดไปจนถึงไตรมาส 4 ถือว่ามีการขยับตัวของภาคธุรกิจในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
การจัดตั้งใหม่ช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวน 67,345 ราย ลดลง 2,341 ราย (-3.36%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (69,686 ราย) ขณะที่ทุนจดทะเบียน 214,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,733 ล้านบาท (2.75%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (208,481 ล้านบาท)
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกันยายน 2568 มีจำนวน 2,150 ราย เพิ่มขึ้น 490 ราย (29.52%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (1,660 ราย) และลดลง 104 ราย (-4.61%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (2,254 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 5,556 ล้านบาท ลดลง 6,777 ล้านบาท (-54.95%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2568 (12,334 ล้านบาท) และลดลง 11,056 ล้านบาท (-66.55%) เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 (16,612 ล้านบาท)
การจดทะเบียนเลิกช่วงไตรมาส 3/2568 (กรกฎาคม-กันยายน 2568) มีจำนวน 5,635 ราย เพิ่มขึ้น 2,498 ราย (79.63%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (3,137 ราย) แต่ลดลง 572 ราย (-9.22%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (6,207 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกรวมกว่า 38,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,361 ล้านบาท (104%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2568 (18,685 ล้านบาท) ขณะที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนเลิกลดลง 1,211 ล้านบาท (-3.08%) เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2567 (39,257 ล้านบาท) จากสถิติการจดทะเบียนเลิกย้อนหลัง 5 ปีพบว่า ปี 2568 มีจำนวนการจดเลิกลดลงจากปี 2566 และ 2567 และยังอยู่ในสถานการณ์ปกติ
การจดทะเบียนเลิกช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวน 11,879 ราย ลดลง 367 ราย (-3%) เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2567 (12,246 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 68,590 ล้านบาท ลดลง 47,415 ล้านบาท (-40.87%) เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2567 (116,005 ล้านบาท) โดยคิดเป็นอัตราการจัดตั้งใหม่ต่อการจดเลิกธุรกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ต่อ 1 ถือเป็นค่าเฉลี่ยตลอด 5 ปี ย้อนหลัง
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,032,174 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.28 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 976,857 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.94 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 774,201 ราย หรือ 79.26% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 17.17 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 201,156 ราย หรือ 20.59% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,500 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.33 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วน การจดทะเบียนมากที่สุด มีจำนวน 530,171 ราย ทุนจดทะเบียน 13.28 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 319,843 ราย ทุน 2.61 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 126,843 ราย ทุน 7.05 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.27%, 32.74% และ 12.99% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
การลงทุนของชาวต่างชาติในไทย 9 เดือนของปี 2568 และเดือนกันยายน 2568
การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของ คนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (เฉพาะธุรกิจที่กำหนดให้ต้องขออนุญาต) ในช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวน 770 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 201 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 569 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 253,116 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 134 ราย (21%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (636 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 118,311 ล้านบาท (88%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (134,805 ล้านบาท) ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 142 ราย คิดเป็น 18% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 76,397 ล้านบาท 2) สหรัฐอเมริกา 116 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,368 ล้านบาท 3) สิงคโปร์ 108 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 86,550 ล้านบาท 4) จีน 99 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 21,925 ล้านบาท 5) ฮ่องกง 82 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 12,624 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 223 ราย คิดเป็น 29% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 51,252 ล้านบาท
เดือนกันยายน 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 83 ราย เป็นการลงทุนผ่าน ช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 63 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 27,580 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน ตามลำดับ
การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ช่วง 9 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 222 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 15 ราย จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 คิดเป็น 7% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 82,264 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 55 ราย เงินลงทุน 15,665 ล้านบาท ญี่ปุ่น 52 ราย เงินลงทุน 28,919 ล้านบาท สิงคโปร์ 26 ราย เงินลงทุน 15,853 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 89 ราย เงินลงทุน 21,827 ล้านบาท" อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย