สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (15 ตุลาคม 2568 )-----ปี 2568 การลงทุนธุรกิจร้านเครื่องดื่มยังเติบโต คาดจำนวนร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน จากการขยายสาขาและการลงทุนใหม่ของผู้ประกอบไทยและต่างชาติ พื้นที่พาณิชยกรรม (Retail space) เปิดใหม่เพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดตลาดเครื่องดื่มทั้งปี 2568 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 5.69 หมื่นล้านบาท โต 5.0% จากปี 2567 เนื่องจากราคาเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่สูง และร้านเปิดใหม่กลุ่มพรี เมียมเข้ามาในตลาด แต่เป็นการเติบโตที่ไม่ทั่วถึง
ในปี 2569 มูลค่าตลาดน่าจะยังเติบโตที่ประมาณ 2% จากปี 2568 แต่เป็นการเติบโตที่ชะลอลง ท่ามกลางปัจจัยท้าทายสูงจากทั้งกำลังซื้อ การแข่งขัน ต้นทุน และเทรนด์การบริโภค
ปี 2568 ธุรกิจร้านเครื่องดื่ม (ครอบคลุม ร้านเครื่องดื่มและคาเฟ่ ทั้ง Stand-alone, Kiosk และ Takeaway) ยังเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2567 ทั้งในด้านของการลงทุนและมูลค่าตลาด อย่างไรก็ดี ธุรกิจร้านเครื่องดื่มเผชิญกับความท้าทายไปพร้อมกัน ซึ่งกระทบกับรายได้และผลกำไรของผู้ประกอบการ ดังนี้
- ร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และมีร้านเครื่องดื่มจำนวนไม่น้อยต้องปิดกิจการ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2568 จำนวนร้านเครื่องดื่ม น่าจะมีประมาณ 31 แสนร้าน เพิ่มขึ้น 4.8% จากปี 2567 (รูปที่ 1)
- ร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นร้านกาแฟ (กว่า 80% ของร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่ทั้งหมด) ทั้งรูปแบบร้านที่ให้บริการที่นั่งและร้านที่ลูกค้าสามารถซื้อกลับไปทาน (Takeaway) สอดรับไปกับเทรนด์ความนิยมบริโภคกาแฟของคนไทย ขณะเดียวกัน ร้านเครื่องดื่มประเภทร้านชานมโตเร่งขึ้น ซึ่งมาจากเทรนด์การบริโภคชาเพิ่มขึ้นและการเข้ามาทำตลาดของของผู้ประกอบการต่างชาติ นอกจากนี้ ร้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างเครื่องดื่มน้ำผัก/ผลไม้สกัดเย็น และสมูทตี้ มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นเครื่องดื่มทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ
- การขยายตัวของจำนวนร้านเครื่องดื่ม มีปัจจัยสำคัญจาก
- ผู้ประกอบการรายเดิมมีการขยายสาขา การเพิ่มแบรนด์ใหม่ในพอร์ต เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าและระดับราคา ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายรวม Total System Sales Growth (TSSG) และส่วนหนึ่งมาจากพื้นที่พาณิชยกรรม (Retail space) เปิดใหม่เพิ่มขึ้น
- ผู้ประกอบการรายใหม่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดเครื่องดื่ม โดยนำเสนอความแปลกใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ (Niche market) เช่น เครื่องดื่มสุขภาพพรีเมียม
- ผู้ประกอบการต่างชาติสนใจลงทุนในไทย เห็นได้ว่า แบรนด์เครื่องดื่มจากต่างประเทศเข้ามาเปิดสาขาและขยายแฟรนไชส์ในตลาดไทยมากขึ้น อาทิ กลุ่มชาผลไม้ ชานมไข่มุกและเครื่องดื่มน้ำปั่นผลไม้ (สมูทตี้) จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าทุนจดทะเบียนใหม่จากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น9% จากมูลค่าทุนจดทะเบียนสะสม ณ สิ้นปี 2567 (รูปที่ 2) โดยมูลค่าการลงทุน ณ 2 ต.ค. 2568 ส่วนใหญ่มาจากจีน รองลงมาเป็นนักลงทุนจากเกาหลีใต้ อังกฤษ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปี 2568 ตลาดร้านเครื่องดื่มจะมีมูลค่า 56,900 ล้านบาท เติบโต 5% จากปี 2567 การเติบโตเป็นผลมาจาก
- ราคาเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 9% จากปีก่อน จากต้นทุนการทำธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่า และต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างเมล็ดกาแฟ โกโก้รวมถึงชาเขียว ซึ่งยังมีราคาที่ผันผวนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา (รูปที่ 3) รวมถึงร้านเครื่องดื่มกลุ่มพรีเมียมเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่กลุ่มนี้ราคาเครื่องดื่มเฉลี่ยต่อแก้วสูงกว่า 100 บาท
- พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองร้านเครื่องดื่มและคาเฟ่ เป็นสถานที่ที่สร้างประสบการณ์ ซึ่งเป็นทั้งจุดนัดพบสังสรรค์ เช็คอิน และสร้างคอนเทนต์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมถึงผู้บริโภคชอบลองของใหม่
- อย่างไรก็ตาม แต่ละร้านเครื่องดื่มอาจมีอัตราการเติบโตที่ไม่ทั่วถึง อาทิ เมื่อมีร้านเครื่องดื่มประเภทใหม่ๆ แบรนด์ใหม่ๆ หรือบางร้านมีการเสนอเมนูที่แตกต่าง (เช่น การนำวัตถุดิบอื่นมาผสมในเครื่องดื่มกาแฟ (unconventional coffee drinks) เป็นต้น) จะเกิดการดึงทราฟฟิกและกระทบผู้ประกอบการให้มียอดขายที่ลดลงได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2569 มูลค่าตลาดของธุรกิจร้านเครื่องดื่มน่าจะยังเติบโตประมาณ 2% จากปี 2568 (รูปที่ 4) แต่เป็นการโตที่ชะลอลง เนื่องจากไปข้างหน้าธุรกิจมีปัจจัยท้าทายสูง
4 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการลงทุนและรายได้ของธุรกิจในปี 2569 ได้แก่
- ปัจจัยด้านเศรษฐกิจยังกดดันกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายเพื่อเครื่องดื่ม ความถี่ในการซื้อเครื่องดื่มลดลง
- การแข่งขันในธุรกิจร้านเครื่องดื่มที่สูงในทุกระดับราคาและเซกเมนต์ ในปี 2569 มองว่า ร้านเครื่องดื่มใหม่ๆ ยังคงมีการเปิดตัว ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ โดยกลุ่มที่ต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้นจะเป็น
- ร้านเครื่องดื่มกลุ่มพรีเมียม ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายรายได้เข้ามาทำตลาดในเซกเมนต์นี้เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดที่มีความเฉพาะตัวซึ่งมีจำนวนลูกค้าที่ค่อนข้างจำกัด
- ร้านเครื่องดื่มกลุ่ม Mass ที่มีราคาเครื่องดื่มเฉลี่ย 60 บาทต่อแก้ว แม้จะเป็นระดับราคาที่ครองสัดส่วนการตลาดเกือบทั้งหมด แต่ด้วยจำนวนผู้ประกอบการที่มีมาก ประกอบกับเครื่องดื่มพร้อมดื่มก็มีการทำตลาดอย่างหนัก ซึ่งหาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อ/ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดจำเป็นต้องนำเสนอความแปลกใหม่เพื่อรักษาลูกค้าประจำ
- ร้านเครื่องดื่มในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งจะมีต้นทุนการตกแต่งร้านที่สูงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และบางรายจะมีค่าเช่าพื้นที่สูงด้วย ขณะที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวไทย ที่มักปรับเปลี่ยนไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ และการท่องเที่ยวมี Seasonal สูง ทำให้เกิดความผันผวนของรายได้ และส่งผลต่อประมาณการยอดขาย ความสามารถในการคืนทุน และวงจรชีวิตของกิจการ
- ต้นทุนธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่การแข่งขันสูงทำให้ผู้ประกอบการมีข้อจำกัดในการปรับราคาและกดดันกำไรสุทธิ แม้ว่าร้านเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะมีกำไรขั้นต้นมากกว่าครึ่งของราคาขาย แต่ความผันผวนของราคาวัตถุดิบจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ประกอบกับค่าเช่าที่/ค่าแรง/ค่าสาธารณูปโภค ยังทรงตัวสูง กดดันความสามารถในการทำกำไร โดยเฉพาะในกลุ่มร้านระดับพรีเมียมที่มีคุณภาพสินค้าและบริการสูง ทำให้อัตรากำไรสุทธิของบางร้านอาจลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15% (รูปที่ 5)
- เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว คาดเดาได้ยากและจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำ ท่ามกลางทางเลือกจากร้านเครื่องดื่มที่มีจำนวนมากในหลากหลายระดับราคา ทำให้ผู้บริโภคพร้อมจะเปลี่ยนแปลงและทดลองสิ่งใหม่ตลอดเวลา สร้างความท้าทายต่อการคาดการณ์ยอดขายในระยะข้างหน้า