สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (15 ตุลาคม 2568 )-----การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) 19% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทย คาดว่าจะเปิดโอกาสให้การส่งออกเครื่องปรับอากาศระบบ Self-contained จากไทย แข่งขันกับจีนได้มากขึ้น
การเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยไปสหรัฐฯ ปี 2568 มีแนวโน้มจะขยายตัว 36% YoY
ในปี 2568 ไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ
ในปี 2568 ไทยสามารถแซงหน้าจีนขึ้นมาเป็นประเทศผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ มากที่สุด แทนที่ตำแหน่งเดิมที่จีนเคยครองในปีก่อนหน้า โดยตลาดสหรัฐฯ มีความต้องการเครื่องปรับอากาศ ประเภทแอร์หน้าต่าง (Self-contained[1]) สูงถึงกว่า 95% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด แตกต่างจากตลาดในประเทศไทยที่นิยมใช้ แอร์ผนัง (Split system[2]) โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 59% ของมูลค่านำเข้าเครื่องปรับอากาศทั้งหมด (รูปที่ 1) และเกือบทั้งหมดเป็น แอร์หน้าต่าง (รูปที่ 2)
หลังขึ้นภาษี ไทยมีโอกาสแข่งขันกับจีนมากขึ้น
การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) จากไทยในอัตรา 19% รวมถึงภาษีส่วนประกอบเหล็กในอัตรา 50% ภายใต้ Section 232 ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกแอร์หน้าต่าง จากไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน แอร์หน้าต่างที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 97% (รูปที่ 3) อยู่ใน 2 ประเภทหลัก ที่ไทยครองสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงที่สุด โดยมี คู่แข่งหลักของไทย ได้แก่ จีน เม็กซิโก และ อินโดนีเซีย (รูปที่ 4) ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบภาษีนำเข้ารวม (ตารางที่ 1) พบว่า ไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจาก เม็กซิโก และ อินโดนีเซีย แต่ได้เปรียบจีน
ตารางที่ 1: อัตราภาษีนำเข้าเครื่องปรับอากาศ ของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากแต่ละประเทศ
|
มูลค่าภาษีที่เรียกเก็บ หากส่งออกเครื่องปรับอากาศ มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ฯ
|
ประเทศส่งออก
|
Effective rate
|
ส่วนประกอบที่ไม่ใช่เหล็ก
(ดอลลาร์ฯ)
|
ส่วนประกอบที่เป็นเหล็ก
(ดอลลาร์ฯ)
|
รวม
(ดอลลาร์ฯ)
|
จีน
|
55%
|
330,000
|
223,600
|
553,600
|
ไทย
|
15%
|
114,000
|
39,420
|
153,420
|
เม็กซิโก
|
16%
|
150,000
|
10,847
|
160,847
|
อินโดนีเซีย
|
16%
|
114,000
|
49,296
|
163,296
|
ที่มา : วิเคราะห์และประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
โดยภาพรวม หลังจากราคานำเข้าเครื่องปรับอากาศจากไทยไปสหรัฐฯ ถูกปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราภาษีนำเข้าใหม่ (รูปที่ 5) พบว่ายังคงแข่งขันได้ดี และมีโอกาสแข่งขันกับทางจีนได้มากขึ้น เนื่องจากราคานำเข้าใหม่หลังรวมภาษีนำเข้า พบว่าต่ำกว่าจีนซึ่งเป็นคู่แข่งหลักประมาณ 13% - 23% ในขณะที่ก่อนขึ้นภาษี ราคานำเข้าของไทยกลับสูงกว่าจีนราว 3% - 18% อย่างไรก็ตาม ไทยอาจเผชิญ การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากอินโดนีเซีย เนื่องจาก ราคานำเข้าของอินโดนีเซียใกล้เคียงหรือบางกรณีถูกกว่าของไทย อย่างไรก็ดี สัดส่วนการส่งออกแอร์หน้าต่างไปยังตลาดสหรัฐฯ ของอินโดนีเซียยังน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับไทยและจีนซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดหลักกว่า 86%
คาดการณ์มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยไปสหรัฐฯ ขยายตัว 36%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 36% หรือราว 651 ล้านดอลลาร์ฯ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนถึงกำหนดเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 ทว่าหลังภาษี Reciprocal 19% มีผลบังคับใช้ ประกอบกับปัจจัยฤดูกาล คาดว่าการส่งออกจะหดตัว 70% ในช่วงที่เหลือของปี
ขณะเดียวกัน แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจีนรายใหญ่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย ผนวกกับความได้เปรียบด้านโครงสร้างภาษี จะช่วยเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญสำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในอนาคต
ภาคผนวก
อัตราภาษีนำเข้าเครื่องปรับอากาศ ของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากแต่ละประเทศ
|
ส่วนประกอบ
ที่ไม่ใช่เหล็ก
|
ส่วนประกอบ
ที่เป็นเหล็ก
|
อัตราภาษีนำเข้ารวม
|
Effective rate
|
ประเทศส่งออก
|
MFN + IEEPA + Section 301
|
Reciprocal Tariff
|
Section 232
|
ส่วนประกอบ
ที่ไม่ใช่เหล็ก
|
ส่วนประกอบ
ที่เป็นเหล็ก
|
จีน
|
45%
|
10%
|
50%
|
55%
|
45% + 50%
|
55%
|
ไทย
|
0%
|
19%
|
50%
|
19%
|
50%
|
15%
|
เม็กซิโก
|
0%
|
0% (USMCA) หรือ 25% (non-USMCA)
|
50%
|
0% (USMCA) หรือ 25% (non-USMCA)
|
50%
|
16%
|
อินโดนีเซีย
|
0%
|
19%
|
50%
|
19%
|
50%
|
16%
|
ที่มา : White House, USTR, USITC, Federal Register วิเคราะห์และเรียบเรียงโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย