สินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (Stranded Assets) จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการสู่เป้าหมาย Net Zero ภาคพลังงานและภาคขนส่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศไทย คิดเป็น 69% ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าทั้งหมด
การแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของนโยบายใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน อย่างไรก็ตาม ปริมาณสินทรัพย์ที่อาจสูญค่าในอนาคตจำนวนมากจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
เป้าหมาย Net Zero ใหม่กำหนดให้ยุติการใช้ระบบพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2593 ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทั้งสองภาคส่วน เนื่องจากยังมีสัดส่วนสินทรัพย์จำนวนมากที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับปัจจุบัน คาดว่าในปี 2580 ร้อยละ 48 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจะมาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะที่ร้อยละ 97 ของรถบรรทุกในประเทศไทยยังใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งภาคโลจิสติกส์ยังคงพึ่งพาอยู่โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดมีกำหนดจะถูกปลดระวางภายในปี 2593 แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอาจถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหลายแห่งทั้งที่กำลังดำเนินการอยู่และที่อยู่ระหว่างการวางแผน คาดว่าจะยังคงเดินเครื่องต่อไปหลังปี 2593 แต่เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero โรงไฟฟ้าเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นระบบพลังงานไฮโดรเจน มิฉะนั้นอาจเสี่ยงที่จะกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตในภาคขนส่ง รถบรรทุกดีเซลรุ่นใหม่มีอายุการใช้งานสูงถึง 30 ปี ซึ่งยาวนานกว่ากำหนดเวลาเปลี่ยนผ่านในปี 2593 รัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อทยอยยุติการใช้งานหรือจำกัดการซื้อ เนื่องจากมูลค่าที่เหลือของรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซลจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้ถึงกำหนดดังกล่าว
ยังคงมีช่องว่างด้านงบประมาณอยู่มาก คาดว่าประเทศไทยจะต้องใช้งบประมาณมากกว่า 1.28 ล้านล้านบาทต่อปี ในการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ในขณะที่ปัจจุบันใช้งบประมาณเพียงประมาณ 0.24 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน แต่ในสัดส่วนและกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน