Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บลจ.ยูโอบี Energy Transition เมื่อโลกเปลี่ยน ธุรกิจต้องปรับ โอกาสใหม่ในพลังงานสีเขียว

92

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (14 ตุลาคม 2568 )-----การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสีเขียว หรือ Energy Transition กำลังกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ หลายฝ่ายมองว่านี่คือการปฏิวัติด้านพลังงานครั้งสำคัญของโลก ที่ไม่ได้เป็นเพียง "ทางเลือก" อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ความจำเป็น" ซึ่งทุกภาคส่วนต้องเผชิญและปรับตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง

               ข้อมูลจากตารางด้านล่างสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกที่ชัดเจน โดยระหว่างปี 2000 ถึง 2010 สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพียง 1.1% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม 10 ปีถัดมา ในช่วง 2010 ถึง 2020 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 3.5% และความสามารถในการผลิตพลังงานหมุนเวียนยังทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา แนวโน้มนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังทั่วโลก

                ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่

ทั้งนี้ สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดในปี 2024 ซึ่งพบว่าสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเติบโตทะลุ 40% ถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยผลักดันในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ที่มา: World Economic Forum)


               บทความนี้จะพาคุณสำรวจโลกของ
Energy Transition หรือการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวในหลากหลายมิติ ตั้งแต่กฎระเบียบกำหนดทิศทางของการใช้พลังงานสะอาด ไปจนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ และการปรับตัวที่ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในโลกแห่งความยั่งยืน ที่ไม่เพียงสร้างระบบเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ทั้งกำไรและความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ยังส่งต่อโลกที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นหลังอีกด้วย

 

กฎระเบียบและนโยบายที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสีเขียว
               เบื้องหลังพลังงานสะอาดที่กำลังพลิกโฉมโลกธุรกิจ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะกระแสโลกเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากแรงผลักดันที่มีพลังจากกฎระเบียบและมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกที่กำหนดทิศทางไว้อย่างชัดเจน ส่งผลให้องค์กรที่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มักจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในโลกยุคใหม่ ขณะที่องค์กรที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว อาจเผชิญกับความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ กฎระเบียบ และกรอบมาตรฐานสำคัญที่องค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญ เข้าใจ และนำไปเป็นแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลและการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ

Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)
                เป็นมาตรการที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสหภาพยุโรปและประเทศคู่ค้า โดยเป้าหมายสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนป้องกันปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอน (
Carbon Leakages) ซึ่งจะกำหนดให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (ที่มา: สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์)

 

EU Deforestation Regulation (EUDR)
               เป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปด้านการนำเข้าสินค้าที่มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งบังคับใช้กับผู้ประกอบการและผู้ค้าที่มีการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป เพื่อหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า และเพิ่มสัดส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ "ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า" ในตลาด   ทั่วยุโรป รวมถึงลดการปล่อยคาร์บอนจากสหภาพยุโรป (ที่มา:
European Commission)

 

Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD)
               เป็นกรอบการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ช่วยให้บริษัททั่วโลกคำนึงถึงโอกาสและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันอาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อ   นักลงทุนในการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ได้แม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การจัดสรรเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (ที่มา:
สำนักงาน ก.ล.ต.)

 

Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD)

               เป็นกรอบการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ โดยกำหนดให้องค์กรจะต้องระบุ ประเมิน วัดผล และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการพึ่งพิง ผลกระทบ ความเสี่ยง และโอกาสที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ได้แก่ ผืนดิน มหาสมุทร แหล่งน้ำดี และชั้นบรรยากาศ (ที่มา: SET Sustainability)

 

               ในยุคที่การลงทุนต้องคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ กฎระเบียบและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนธุรกิจสู่พลังงานสีเขียว แต่ยังกลายเป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือและศักยภาพในการเติบโตขององค์กร ดังนั้น นักลงทุนที่เข้าใจและติดตามกรอบเหล่านี้จะสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำมากขึ้นและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

 

ผลกระทบและการปรับตัวของภาคธุรกิจไทย

                จากมาตรการและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า "กฎระเบียบสีเขียว" เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการไทย เนื่องจากธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ก่อนย่อมได้รับผลบวกทั้งในด้านภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค และความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก Energy Transition โดยเฉพาะภาคพลังงานและภาคขนส่ง ซึ่งเป็นอุตสากรรมเป้าหมายของนโยบายลดก๊าซเรือนกระจกของไทยที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ในปี 2021 - 2030

               จากข้อมูลพบว่า อุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึง 70% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศทั้งหมด ดังนั้น ภาครัฐจึงมีแผนพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในสาขาต่าง ๆ พร้อมกับปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของระบบพลังงานให้สอดคล้องกับแนวคิด Energy Transition ตามแนวทาง 4D 1E ซึ่งประกอบไปด้วย

Digitalization: การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เช่น ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายไฟฟ้า และเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน

               Decarbonization: การลดคาร์บอนผ่านการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล และชีวภาพ

Decentralization: การกระจายศูนย์โดยสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน สร้างความสมดุลของพื้นที่ไฟฟ้าไปทั่วทุก ภูมิภาคของประเทศ

De-Regulation: การลดกฎระเบียบ เพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน

Electrification: ส่งเสริมให้เกิดการใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลัก ทั้งการส่งเสริมและขยายระบบโครงข่ายรถไฟฟ้า ควบคู่ไปการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า

(ที่มา: Economic Pulse ธนาคารแห่งประเทศไทย)

 

                ในขณะที่อุตสาหกรรมคมนาคมขนส่งเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่พบว่า ปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 30% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศทั้งหมด จึงเป็นที่มาของของนโยบาย EV 30@30 ที่กำหนดเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภท ZEV (Zero Emission Vehicle) ให้ได้อย่างน้อย 30% ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นความท้าทายและสัญญาณที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ (ที่มา: TDRI)

 

               ท่ามกลางความท้าทายจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด  หลายองค์กรชั้นนำกำลังปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น หรือการนำเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอนมาประยุกต์ใช้ เช่น Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจทั่วโลก โดยในประเทศไทย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้เป็นผู้ริเริ่มโครงการนำร่องด้าน CCS โดยร่วมกับ Japan Organization for Metals and Energy Security (JOGMEC) เพื่อประเมินศักยภาพชั้นหินธรณีวิทยาบริเวณอ่าวไทยตอนบนสำหรับการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซค์ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของไทย และเป็นตัวอย่างของการปรับตัวเชิงรุกที่อาจสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว (ที่มา: PTTEP)

              
                นอกจากนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้วางแผนระยะยาวในการพัฒนาเทคโนโลยี
Carbon Capture, Utilization & Storage (CCUS) เพื่อดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่โรงไฟฟ้าน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง  ให้เป็นพื้นที่พลังงานสีเขียว ผ่านการศึกษาศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ พลังงานชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ พลังน้ำแบบสูบกลับ และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เพื่อมุ่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการปรับตัวเชิงระบบที่อาจสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว (ที่มา: EGAT)

              

                สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่ภารกิจของรัฐบาลหรือองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่นี่เป็นบทบาทของเราทุกคน ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในโลกใบนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้เรามองหาแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับอนาคตที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการลงทุนในธีม ESG และบริษัทที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอน หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ได้รับสัญลักษณ์ Low Carbon Designation™ ซึ่งผ่านการประเมินโดย Morningstar ว่ามีความเสี่ยงต่ำในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยกองทุนเหล่านี้ต้องมีคะแนน Carbon Risk Score เฉลี่ยในรอบ 12 เดือนต่ำกว่า 10 คะแนนและมีการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยกว่า 7% ของมูลค่าทรัพย์สินเฉลี่ยในช่วงเวลาเดียวกัน (ที่มา: Morningstar Thailand)

 

                หากคุณกำลังมองหาทางเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน กองทุน UGSTAR-M : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล สตาร์ อิควิตี้ ฟันด์ (หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป) เป็นกองทุนรวมที่ได้รับสัญลักษณ์ Low Carbon Designation™ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงต่ำในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ กองทุนนี้มีระดับความเสี่ยงอยู่ที่ ระดับ 6 – เสี่ยงสูง โดยเน้นลงทุนในกองทุนหลักคือ Robeco Global Stars Equities IL USD ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมส่งเสริมการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG สิ่งที่โดดเด่นคือ กองทุนหลักมีความตั้งใจที่จะมีฟุตพริ้นท์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Footprint) ที่ดีกว่า Benchmark และนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดเลือกหลักทรัพย์อย่างจริงจัง นอกจากนี้ กองทุน UGSTAR ยังได้รับการจัดอันดับ 4 ดาวจาก Morningstar ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพในด้านการบริหารจัดการและผลตอบแทนเมื่อเทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกัน (ที่มา: UOBAM)

 

 

บทความโดย บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด

ติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างยั่งยืนได้ที่ https://www.uobam.co.th/th/Sustainability

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 0-2786-2222
หรือ
www.uobam.co.th

 

คำเตือน

· ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

· การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงินและไม่สามารถรับรองผลตอบแทนได้

· การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก

· กองทุน UGSTAR-M มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน

· กองทุน UGSTAR-M ลงทุนในต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงที่ทางการของต่างประเทศอาจออกมาตรการในภาวะที่เกิดวิกฤติการณ์

ที่ไม่ปกติ ทำให้กองทุนไม่สามารถนำเงินกลับเข้ามาในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ลงทุนไม่ได้รับเงินคืนตามระยะเวลาที่กำหนด

· ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดต่างๆ ในหนังสือชี้ชวนของ SRI Fund ก่อนการลงทุน เพื่อให้รับทราบถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ

ก่อนการลงทุน อาทิ นโยบายการลงทุน หลักทรัพย์ที่กองทุนนั้นได้ไปลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตลอดจนค่าธรรมเนียม รวมถึงสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ก่อนการซื้อขาย ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อของกองทุน SRI Fund ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน

· ผลการดำเนินงานในอดีต / ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ตลาดทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

จีน Vs สหรัฐฯ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บรรยากาศการลงทุนถูกกดดัน จากความตึงเครียดการค้ารอบใหม่กลับมาปะทุอีกครั้ง ..

สู่โหมดใด By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม จับตาดู ตลาดหุ้นไทย จะเข้าสู่โหมดใด หลังผ่านพ้นวันหยุดยาว 3 ทำการ จะเคลื่อนไหว สุดสวิง แบบสัปดาห์ที่ผ่าน...

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้