เม็ดเงินทะลักตลาดหุ้น แม้เกิด SHUTDOWN สหรัฐฯ
HORIZON MARKET VIEW
•วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นราว 0.1% - 0.4% แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะSHUTDOWN ครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ ปธน. ทรัมป์ หลังสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการขยายเวลาการจัดสรรงบประมาณได้โดยคะแนนในวุฒิสภาอยู่ที่55 :45(ต้องผ่านอย่างน้อย 60 เสียง)
• ผลกระทบที่ตามมา อาจทำให้การเผยแพร่ข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจล่าช้า ขณะที่ทรัมป์เสนอว่าอาจมีการปลดพนักงานถาวร เพิ่มเติมจากการพักงานชั่วคราวของพนักงาน 750,000 คน ซึ่งหาก SHUTDOWN ยาวถึง 3 สัปดาห์ อาจทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นเป็น 4.6%–4.7% (ปัจจุบัน 4.3%)
• แรงกันที่อาจมีส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังถูกทดแทนด้วยความคาดหวังปรับลดดอกเบี้ยของ FED ที่เหลืออีก 2 ครั้งในปี้น
REGION RADAR
• 3 ปัจจัย หนุน หุ้นกลุ่ม HEALTH CARE น่าสนใจ 1). ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา LAGGARD มากสุดในกลุ่ม 2). วานนี้เริ่มเห็น VOLUME การซื้อขายเข้ามาในกลุ่ม HEALTH CARE อย่างร้อนแรงและโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ ในดัชนี S&P 5003). มีปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มยา โดยบริษัทยายักษ์ใหญ่ประกาศแผนการลงทุนในสหรัฐฯ และทรัมป์ได้เลื่อนเก็บภาษีนำเข้ายาที่ตั้งไว้ 100% เพื่อให้บริษัทยามีเวลาในการต่อรองมากขึ้น จึงแนะนำเก็งกำไร MERCK และ ELI LILLY (DR: LLY80
THAI FOCUS
•วันจันทร์หน้าตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปไทยของเดือน ก.ย.68BLOOMBERG คาด -0.60%YOY(อาจติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6)จากหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวลดลง, อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
• ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวแบบนี้ ทำให้นโยบายการเงินควรจะเข้ามาเกื้อหนุน โดยการประชุม กนง.วันที่ 8 ต.ค.68 BLOOMBERGจึงคาดว่าจะลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% จาก 1.50%(ผ่านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ 4 ใน 5 คน)
SYNAPSE STRATEGY
• นักลงทุนไม่กังวลต่อประเด็น GOVERNMENT SHUTDOWN มากนัก รวมถึง FUND FLOW จาก ETF วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นทุกทวีป โดยเห็นน้ำหนักเอนเอียงมาที่ตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น คาดเป็นSENTIMENT บวกต่อตลาดหุ้นไทยที่ย่อตัวลงมาพอสมควร
• แนะนำสะสมหุ้นอิงนโยบายการคลัง CPALL, CPAXT, นโยบายการเงิน MTC, TISCO หุ้นรับบาทอ่อน TU, MINT, BCH และหุ้นต่างประเทศสะสม MERCK&CO และ ELI LILLY (DR: LLY80)
HORIZON MARKET VIEW
ตลาดหุ้นไม่ได้ตกใจ แม้จะเกิด GOVERNMENT SHUTDOWN ในสหรัฐฯ
วานนี้ตลาดหุ้นสหรฐฯ ขยับขึ้นราว 0.1% -0.4% แม้ว่าวันที่ 1 ต.ค. 68 รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ SHUTDOWNครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ ปธน. ทรัมป์ หลังสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการขยายเวลาการจัดสรรงบประมาณได้ โดยคะแนนในวุฒิสภาอยู่ที่ 55 : 45 (ต้องผ่านอย่างน้อย 60 เสียง)ซึ่งประเด็นหลักของความขึ้นแย้ง
• พรรคเดโมแครตต้องการ ต่ออายุเงินอุดหนุนประกันสุขภาพ (OBAMACARE) ที่กำลังจะหมดอายุรวมถึงยับยั้งไม่ให้ทรัมป์ใช้ดุลพินิจระงับการใช้จ่ายที่รัฐสภาอนุมัติแล้ว และยกเลิกการตัดงบMEDICAID ที่รวมอยู่ในกฎหมายภาษีของทรัมป์
• ขณะที่พรรครีพับลิกัน มองว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้เป็นการ “แจกเงินให้บริษัทประกัน” และต้องการให้เงินอุดหนุนหมดไปพร้อมกับการสิ้นสุดของโควิด
ผลกระทบที่ตามมาจากภาวะ SHUTDOWN อาจทำให้การเผยแพร่ข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจล่าช้า เช่น INITIALJOBLESS CLAIMS, MONTHLY JOB REPORT เป็นต้น ขณะที่ทรัมป์เสนอว่าอาจมีการปลดพนักงานถาวรเพิ่มเติมจากการพักงานชั่วคราวของพนักงาน 750,000 คน ซึ่ง BLOOMBERG ประเมินว่าหาก SHUTDOWNยาวถึง 3 สัปดาห์ อาจทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นเป็น 4.6%–4.7% (ปัจจุบัน 4.3%)ขณะที่SHUTDOWN ครั้งก่อน(2018–2019) สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ราว 11 พันล้านดอลลาร์และไม่สามารถฟื้นกลับมาได้3 พันล้านดอลลาร์แรงกันที่อาจมีส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังถูกทดแทนด้วยความคาดหวังปรับลดดอกเบี้ยของ FED ที่เหลืออีก 2 ครั้งในปี้นี้ ดูชัดเจนขึ้น ล่าสุด FEDWATCH TOOL คาด FED จะลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือน ต.ค. ด้วยความน่าจะเป็นเกือบ 100% และรอบเดือน ธ.ค. ด้วยความน่าจะเป็น 89%
หากย้อนรอยผลกระทบ GOVERNMENT SHUTDOWN ของสหรัฐฯ ในอดีตที่ผ่านมา ระยะเวลาการSHUTDOWN ที่ยาวนาน จะส่งผลต่อการชะลอตัวของ GDP ชัดเจน โดยเฉพาะ 2013 และ 2018–19 ขณะที่ตลาดแรงงาน พนักงานรัฐบาลหลายแสนคนถูกพักงาน และค่าจ้างล่าช้า ทำให้กระทบการบริโภค ส่วนตลาดการเงิน สร้างความผันผวนระยะสั้นต่อหุ้นและพันธบัตร แต่ส่วนใหญ่ฟื้นตัวเร็วหลังมีข้อตกลง
ในแง่มุมของตลาดหุ้นช่วงที่เกิด GOVERNMENT SHUTDOWN ตั้งแค่ปี 1976 – 2019 ดัชนีS&P500 ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 0.3% ขณะที่ SHUTDOWN ครั้งก่อน (2018–2019) ปรับตัวสูงขึ้นราว 10.3% เนื่องจากได้แรงหนุนจาก FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยปลายปี 2018 อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวราว 2% นอกจากนี้สถิติดัชนีS&P500 หลังจากที่เกิด GOVERNMENT SHUTDOWN 12 เดือน เผยแนวโน้มขยับขึ้นเฉลี่ย 12.3%
REGION RADAR
หุ้นกลุ่ม HEALTH CARE ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา UNDERPERFORM มากสุดในกลุ่มในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม HEALTH CARE ในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนที่แย่สุดในกลุ่มเนื่องจากความกังวลเรื่องการที่ประธานาธิบดี DONALD TRUMP ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้ายาและการแข่งขันในอุตสาหกรรมยาที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม วานนี้เริ่มเห็น VOLUME การซื้อขายเข้ามาในกลุ่ม HEALTH CARE อย่างร้อนแรงและโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ ในดัชนี S&P 500
บริษัทยายักษ์ใหญ่ประกาศแผนการลงทุนในสหรัฐฯ
บริษัทยาต่างๆ เริ่มประกาศแผนในการลงทุนในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด PFIZER ประกาศแผนจะลงทุนราว$7.0 หมื่นล้านในสหรัฐฯ สำหรับการ R&D นอกจากนี้ JOHNSON & JOHNSON ได้ประกาศเม็ดเงินลงทุนราว$5.7 หมื่นล้าน ในการสร้างโรงงานและ R&D และยังมีอีกหลายบริษัทที่ประกาศลงทุน อาทิ ASTRAZENECA และELI LILLY จากการที่บริษัทต่างๆ ประกาศลงทุนในสหรัฐฯ ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลื่อนเก็บภาษีนำเข้ายาที่ตั้งไว้ 100% เพื่อให้บริษัทยามีเวลาในการต่อรองมากขึ้น
จากประเด็นเรื่องหุ้นกลุ่ม HEALTH CARE ที่ LAGGARD กลุ่มอื่นๆ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งเริ่มเห็น VOLUMEเข้ามาในกลุ่ม HEALTH CARE ค่อนข้างโดดเด่น และมีปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มยา เช่น บริษัทยาประกาศแผนลงทุนในสหรัฐฯ และทรัมป์เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ายาในอัตรา 100% แนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มยา ได้แก่ MERCK และ ELILILLY (DR: LLY80)
THAI FOCUS
นโยบายการเงินของ กนง. เป็นเช่นไร และมุมมองของนักลงทุนตอบสนองอย่างไร
วันจันทร์หน้าติดตามตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปไทยประจำเดือน ก.ย.68 ที่ BLOOMBERG คาด -0.60%YOY(อาจติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6) ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน(CORE CPI) คาดอยู่ที่ +0.73%YOY ลดลงจากเดือนก่อนหน้า+0.81%YOY จากหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวลดลง, อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ และแรงกดดันจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกทดแทนตลาดภายในประเทศ เป็นต้นดังนั้นตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวแบบนี้ ทำให้นโยบายการเงินควรที่จะเข้ามาเกื้อหนุน โดยการประชุมกนง.วันที่ 8 ต.ค.68 BLOOMBERG จึงคาดว่าจะลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% จาก 1.50%(ผ่านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ 4 ใน 5 คน) อีกทั้งนโยบายการคลังที่เตรียมอัดฉีดในช่วงปลายปี โดยรัฐบาลวางเป้า GDP 4Q25Fเติบโตมากกว่า 1% ผ่านนโยบายเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ , คนละครึ่งพลัส, เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และดึงการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทำให้GDP 2568F มีโอกาสโตเกิน 2.5%YOY ได
SYNAPSE STRATEGY
นักลงทุนไม่ค่ากังวล GOVERNMENT SHUTDOWN
นักลงทุนไม่กังวลต่อประเด็น GOVERNMENT SHUTDOWN มากนัก และเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่องสะท้อนได้จาก FUND FLOW จาก ETF วานนี้ ยังไหลเข้าตลาดหุ้นทุกทวีป 1.6 หมื่นล้านเหรียญ โดยเห็นน้ำหนักเอนเอียงมาที่ตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น 1.8 พันล้านเหรียญ (ยอดซื้อสุทธิ1 เดือน 2.1 หมื่นล้านเหรียญ เป็นสัดส่วน1 ใน 3 ของยอดซื้อสะสมทั้งปีนี้ที่ 6.1 หมื่นล้านเหรียญ YTD) คาดเป็น SENTIMENT บวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วย ที่ย่อตัวลงมาพอสมควร
แนะนำสะสมหุ้นอิงนโยบายการคลัง CPALL, CPAXT, นโยบายการเงิน MTC, TISCO หุ้นรับบาทอ่อน TU,MINT, BCH และหุ้นต่างประเทศสะสม MERCK&CO และ ELI LILLY (DR: LLY80)
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์