Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

80

 

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

Wealth Insights Thai Econ Outlook: GDP แตะจุดต่ำสุดใน 4Q25 ส่วนปี 2026 ทยอยฟื้นตัว แม้โมเมนตัมชะลอลง
Key findings:

เราปรับประมาณการ GDP ปี 2025 เป็น 1.8% YoY จากเดิม 1.4% YoY (กรณีฐาน) จากการขยายระยะเวลาในการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ ออกไปเป็นวันที่ 7 สิงหาคม 2025 (จากเดิมที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2025) ส่งผลให้ภาคการส่งออกไทยยังคงมีแรงส่งจากการเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (Front-loaded demand) ก่อนมาตรการการเรียกเก็บ Reciprocal tariff จะมีผลบังคับใช้จริงตลอดระยะเวลา 7 เดือนแรกของปี 2025 และทำให้การส่งออกขยายตัวได้ดีกว่าคาด นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชนยังกลับมาเป็นบวกจากแรงหนุนของการลงทุน FDI

ผลของ Reciprocal tariff จะเริ่มกดดันการส่งออกสินค้าไทยตั้งแต่ช่วงกลาง 3Q25 ถึง 1H26 ทำให้การส่งออกเข้าสู่โซนหดตัวในช่วงเวลาดังกล่าว อันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแตะจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 (ขยายตัวเพียง 0.1% YoY และหดตัว 0.7% QoQ,sa) และขยายตัวในระดับต่ำตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026 (คาด 1Q26 ขยายตัวราว 0.6% YoY และ 2Q26 ขยายตัว 0.8% YoY) อย่างไรก็ดี การขยายตัวในระดับต่ำนั้นยังอยู่ในเส้นทางของการทยอยฟื้นตัว

ระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยได้แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนภาคเอกชนที่มีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นจากการลงทุน FDI ในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล (โดยเฉพาะ Data center) และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวจากฐานใหม่ ขณะที่การส่งออกก็น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2026 จากอุปสงค์ของผู้นำเข้าในสหรัฐฯ น่าจะทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากวัฏจักรของการเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าที่ก่อให้เกิดการสะสมกักตุนสินค้าไว้ตั้งแต่ช่วงเดือน 7 เดือนแรกของปี 2025 หมดลง และน่าจะมีคำสั่งซื้อหรืออุปสงค์จากตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เพิ่มเติม

เราคาดว่า GDP ปี 2026 โตเพียง 1.6% ชะลอจาก 1.8% ในปี 2025 (กรณีฐาน) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องหลักมาจากผลกระทบของมาตรการ Reciprocal tariff และฐานการส่งออกที่อยู่ในระดับสูงในปี 2025 แม้ว่าจะโตชะลอลง แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักน่าจะทยอยฟื้นตัวในทิศทางที่ดีและน่าจะทำให้ภาพ GDP ไทยในปี 2026 ในแต่ละไตรมาสทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง
Implications:

การจัดหาตลาดส่งออกใหม่ยังเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นในการเพิ่มโอกาสการส่งออก และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดหลักเดิมอย่างสหรัฐฯ ดังนั้น การขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะ FTA ไปยังตลาดใหม่ น่าจะช่วยผู้ประกอบการผลิตและส่งออกให้เข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้น

การดึงดูดการลงทุน FDI ในระยะข้างหน้าจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และอาจสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนในระยะข้างหน้า

 

สรุปภาพตลาดวานนี้
ยืน 1270+ ได้วานนี้ โดยแรงซื้อกลับมาจาก ADVANC TRUE CPALL CPAXT AOT THAI ขณะที่พบ รพ. สิ่งสวนทางกันแรง BH ลง แต่ THG RAM บวกเด่น

แนวโน้มตลาดวันนี้
แนวรับ 1270 ทำงาน
เราคงมุมมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยถอยมาให้รับ และยังไม่สิ้นสุดทางขึ้น บรรยากาศแรงขายทำกำไรโดยรวม (เมื่อวาน) เริ่มลดลง-แรงขายที่เคยกระจายไปในหุ้นใหญ่ เหลือแค่บางตัวที่โดยขายทำกำไร เช่น BH DELTA BBL MINT
โดยรอบนี้เราคาดแนวรับ 1270 จุด ยังทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญและเราใช้แนวรับนี้เป็นตัวชี้วัดบรรยากาศลงทุนหุ้นไทย ว่ายังไม่ได้เสียแนวโน้มขาขึ้น และเปลี่ยนไปเป็นขาลง เราคงคำแนะนำสะสมซื้อหุ้นในโซน 1270 จุด บวกลบ
ประเด็นที่ต้องติดตาม และคาดจะมีผลต่อทิศทางราคาหุ้นรายตัว เรายังคงเน้นที่ หุ้นเล่นดัก
1) บาทกลับทิศมาอ่อนค่า หุ้นเชื่อมโยงด้านบวก ได้แก่ ท่องเที่ยว โรงแรม ส่งออก และ สินค้าอุปโภคบริโภค
2) ความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
3) ประเด็นอื่นๆ เช่น โอกาสกลับมารับงาน ส่งต่อคนไข้คูเวต ของรัฐบาลคูเวต, ซื้อดักทิศทางราคาพลังงาน และน้ำมันดิบ คาดจะเริ่มเข้าสู่ขาขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล
ขณะที่ปัจจัยลบอื่นๆ เรามองว่าไม่น่าจะมีน้ำหนักต่อการปรับฐานรุนแรง เช่น FITCH rating ปรับมุมมองเครดิตไทยลง, ส่วนข่าวด้านบวก (น่าจะมีน้ำหนักมากกว่า) วันนี้นายกอนุทิน นำทีมเศรษฐกิจ เข้าพบ FETCO หารือแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย...

กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET เริ่มสลับฟื้นตัวขึ้นบ้างภายหลังปรับตัวลงต่อเนื่องถึง 4 วัน ล่าสุดสู้ที่เส้น EMA 25 วัน 1,270 จุด แต่! ไม่เพียงพอที่จะทำให้โมเมนตัม MACD กลับตัว ยังคงตัดเส้น signal line ลง ส่วนมุมมองเรื่อง Elliot wave แบ่งเป็นคลื่นย่อย & คลื่นหลัก.....สำหรับคลื่นย่อย…..อยู่ใน corrective wave b (รีบาวด์) ยังเสี่ยงปรับลงเข้าหา คลื่น c คาดว่าโซนรับจะอยู่บริเวณ 1,250 จุด ส่วนภาพใหญ่ คลื่นหลัก…ยังคงอยู่ ในรูปแบบขาขึ้น Impulse wave 3 เป้าหมายระยะไกลที่ 1,330 จุด (Fibonacci retracement 61.8%)
แผนเทรด: หากดัชนีย่อลงมาที่โซนรับ มองเป็นโอกาสช้อนซื้อครับ
ไฮไลท์หุ้น: CPAXT ขาขึ้นยังไม่จบง่ายๆ / Why BH ร่วงแรง!/ AOT ทรงคล้าย Inverse H&S / PTT ถือลุ้นเป้า/ CBG ลงผิดคาด! ติดตามแผนเทรดในหน้าถัดไป

 

 

 

What to watch
รฟม.สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงหลังถนนทรุดตัว-เร่งหาสาเหตุ กทม.สั่ง 7 มาตรการเร่งด่วน ห่วงฝนซ้ำ ด้าน รฟม.ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างบริเวณพื้นที่เกิดเหตุในทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างบางส่วน และอพยพประชาชนโดยรอบออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
(ติดตามฤดูพายุในภูมิภาคนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการน้ำในประเทศ ส่วนในฝั่งอเมริกา คาดจะเริ่มมีพยากรณ์พายุ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางราคาพลังงาน) สนามบินนานาชาติฮ่องกงกำลังพิจารณาระงับเที่ยวบินโดยสารทั้งหมดเป็นเวลา 36 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เย็นวันอังคารนี้ ในขณะที่ฮ่องกงกำลังเตรียมตัวรับมือกับพายุรากาซา (Ragasa) หนึ่งในซูเปอร์ไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
ด้านฟิลิปปินส์ได้สั่งปิดหน่วยงานราชการและโรงเรียนในกรุงมะนิลาและพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในวันนี้ ขณะที่พายุรากาซาเคลื่อนตัวไปทางเหนือของลูซอนช่วงเช้าวันนี้ ส่งผลให้เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนัก
วันนี้นายกอนุทินนำทีมเศรษฐกิจ พบ FETCO หารือแนวทางฟื้นฟูตลาดหุ้นไทย
FITCH ปรับลดมุมมองเครดิตประเทศไทย ลงจากเดิม Stable เป็น Negative ตาม Rating firm ใหญ่ก่อนหน้านี้ที่ปรับ Outlook ไทยลงนำไปแล้ว

หุ้นแนะนำวันนี้
AOT นอกจากปัจจัยฤดูกาล เราคาดว่าจะเห็นกระแสการทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรจากการปรับเพิ่มค่าภาษีสนามบิน คาดเริ่มเฟสแรกต้นปีหน้า
แนวรับ 39 ต้าน 42 Stop loss 37.5

Tactical port ถอด BCH เพิ่ม AOT

 

รายงานพื้นฐานวันนี้
Thai Market

เจาะโอกาสลงทุนหุ้นไทยยุค “Next Normal” | กลยุทธ์การลงทุนในฤดูกาลใหม่ (4Q25-2026 Strategy)
สำหรับภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนเชิงปัจจัยพื้นฐาน เรามีมุมมอง “บวกแต่ไม่ประมาท (Cautiously optimistic)” โดยมองหุ้นไทยปรับฐานระยะสั้นเป็นจังหวะสะสม
ระยะสั้นอาจกดดันจากผลกระทบมาตรการภาษีทรัมป์กระทบส่งออกไทย, จ้างงานสหรัฐฯ “ติดลบ” อาจกดดันตลาดหุ้นโลก-ไทยเพิ่ม, กำไรหุ้นไทยยังเสี่ยง คาดการณ์ยังโดนปรับลงต่อ
แต่มองข้ามแรงกดดันระยะสั้น-เน้นการฟื้นตัวระยะยาว เศรษฐกิจไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 และเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปี 2025 ต่อเนื่องไปถึงปี 2026, มาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ยังช่วยพยุงได้ระยะสั้น, ท่องเที่ยวไทยผ่านจุดต่ำสุดเข้าไฮซีซั่นไตรมาส 4, ดอกเบี้ยขาลงจะช่วยหนุนตลาดหุ้น, การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์จะเป็นอีกแรงหนุน, มอง SET target ปีหน้าที่ระดับ 1440
เราเห็น 4 โอกาสลงทุนหุ้นไทย จาก
1) เก็งกำไรระยะสั้น-เน้นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ โดยหุ้นแนะนำ ได้แก่ CPAXT, ICHI, CENTEL, COM7, CPALL
2) ขายในช่วงกำไรพีค โดยเฉพาะกลุ่มนิคมฯ
3) สะสมกลุ่มผู้นำการเติบโตปีหน้าธีมดาต้าเซ็นเตอร์-กลุ่มโรงไฟฟ้า/น้ำ โดยหุ้นแนะนำ ได้แก่ WHAUP, GULF และเก็งกำไร GUNKUL
4) สะสม “เมื่ออ่อนตัว” รับการฟื้นรอบใหม่ – นโยบาย Anti-involution หนุนเพิ่ม โดยหุ้นแนะนำ ได้แก่ PTTGC, SCC

Econ
Export: การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม ขยายตัวต่ำคาด
การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2025 ขยายตัว 5.8% YoY แต่หดตัวลง 2.9% MoM และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (Bloomberg consensus: 7%) หากตัดผลกระทบจากการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ การเติบโตจะเหลือเพียง 2.8% YoY ซึ่งสะท้อนแรงกดดันที่ชัดเจนขึ้น ทั้งจากมาตรการ reciprocal tariff ที่เริ่มส่งผลเต็มที่ และจากการชะลอตัวของอุปสงค์ที่เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (front-load demand) การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองตลาดหลักของไทย หดตัวลงแรงถึง 9.8% และ 12.7% MoM ตามลำดับ
ภาพรวมสินค้าเกือบทุกกลุ่มสูญเสียโมเมนตัม ทั้งสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมหลัก ขณะที่การขยายตัวที่ยังคงเห็นได้ชัดเจนจำกัดอยู่เพียงบางหมวดที่ยังได้รับการยกเว้นภาษีในตลาดสหรัฐฯ เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (+44.1% YoY), integrated circuits (+37% YoY) และโทรศัพท์มือถือ (+119.1% YoY) แม้ว่าบนฐาน MoM สินค้าเหล่านี้จะเริ่มสะท้อนการชะลอตัวเช่นกัน
ครึ่งหลังปี 2025 การส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอลงจากผลของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง แม้บางสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์จะเจาะตลาดใหม่ได้ แต่ยังไม่เพียงพอชดเชยตลาดสหรัฐฯ ทั้งปี 2025 คาดการส่งออกยังบวกได้ราว 5% YoY จากฐานที่แข็งแรงใน 8M25 (+13.3% YoY)
มองไปข้างหน้า 2026 คาดการเติบโตของการส่งออกไทยขึ้นอยู่กับสองปัจจัยสำคัญ:
1) ความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวเข้ากับโครงสร้างภาษีใหม่
2) การหาตลาดส่งออกใหม่เพื่อชดเชยความต้องการจากสหรัฐฯ ที่หดตัว

Agro & Food
ราคาหมูยังอ่อนแอจากปัญหา OverSupply
ราคาหมูหน้าฟาร์มร่วงแรงเหลือเกือบ 50 บาท/กก. จาก ~70 บาท/กก. เดือนก่อน เป็นแรงกดดันหลักต่อกำไรกลุ่มปศุสัตว์ใน 3Q25 ทั้งจาก supply ล้นตลาดและ demand อ่อนแรงในช่วงน้ำท่วมและเทศกาลกินเจ ต.ค. มาตรการแก้ไขฉุกเฉิน เช่น โปรโมชันขายหมูถูก คัดทิ้งลูกสุกร 100,000 ตัว และเก็บสต๊อกห้องเย็น 5,000 ตัน จะช่วยค่อยๆ พยุงราคา แต่ยังไม่เพียงพอในระยะสั้น และสะท้อนว่าปัญหา oversupply ต้องแก้ยาวถึงการลดแม่พันธุ์ในปี 2026
เราคาดว่า 3Q25 กำไรหลักกลุ่มปศุสัตว์จะอ่อน QoQ โดยมี downside risk จากราคาหมูที่ร่วงแรงกว่าคาด แม้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงจะช่วยจำกัดความเสียหาย ขณะที่ 4Q25 น่าจะเริ่มเห็นการ ฟื้นตัวบางส่วนเมื่ออุปสงค์กลับมาหลังน้ำลดและมาตรการมีผล
Fundamental view: เรายังแนะนำรอจังหวะเข้าหลัง ต.ค. เมื่อราคาหมูเริ่มนิ่ง โดยเลือก CPF เป็น top pick จากการมีพอร์ตโปรตีนหลากหลายและ exposure ในเวียดนาม, รองลงมา TFG และ BTG แนะเพียงเก็งกำไรเป็นรอบๆ ส่วน GFPT ที่เน้นไก่ตอนนี้กลับดูปลอดภัยมากกว่าจากความผันผวนของราคา


สรุปประเด็นจาก Quick take
PTT
ปตท
การลงทุนในกลุ่มบริษัท New Alvogen ผ่านบริษัท Lotus Pharmaceutical
ที่ประชุม Lotus Pharmaceutical Co., Ltd (Lotus) (PTT ถือหุ้น 37.69%) ได้มีมติอนุมัติการลงทุนเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งดําเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา ผลิต และจําหน่ายผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทางในสหรัฐฯ (เดิม Lotus ถือหุ้นอยู่ 13%) มูลค่าเงินลงทุนรวม US$658m โดยแบ่งเป็น 1) เงินสดและเงินกู้จำนวนรวมไม่เกิน $350m (หลังหักสัดส่วนการถือหุ้นที่มีอยู่เดิม) และ 2) การออกหุ้น บุริมสิทธิ์ให้ผู้ถือหุ้นเดิม
View from fundamental: ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น positive sentiment ต่อราคาหุ้น นอกจากนั้นคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงต่อเนื่อง (คาด 6.4% yield สำหรับปีนี้) น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” (ราคาเป้าหมาย 36 บาท)

CK - STECON
ช.การช่าง - สเตคอน กรุ๊ป
ถนนทรุด หน้าวชิรพยาบาล
บริเวณนั้นเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ที่กำลังก่อสร้าง โดย CKST (CK 55%, STECON 45%) เบื้องต้น คาดเป็น Downside กำไรของทั้งคู่ จากงานช้าลงหรือหากมีการซ่อมแซม แต่จะกดดันขนาดไหน ให้รอชี้แจงรายละเอียด (1) เงินประกันที่คุ้มครอง (2) ค่าเสียหาย-ซ่อม (3) ผลต่องานในอนาคต
View from fundamental: แม้พื้นฐานยังไม่ปรับ และคาดกระทบ BV น้อย แต่ระยะสั้นแนะนำเลี่ยงการลงทุนก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจน หรือ ราคาพักฐานใหม่จนนิ่งพอ และปัจจัยใหม่

 

 

CPAXT
ซีพี แอ็กซ์ตร้า
จับมือพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อเตรียมเปิดห้างแมคโครในฟิลิปปินส์ปลายปีหน้า
MROH (บ.ย่อยของ CPAXT) ร่วมกับ ACX Holdings (บ.ย่อยของ Ayala corp-กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในฟิลิปปินส์) จัดตั้งบ.ใหม่ เพื่อเตรียมเปิดห้างแม็คโครในฟิลิปปินส์
View from fundamental: เรามองเป็นกลางต่อดีลนี้ โดยข้อดีช่วยขยายแมคโครในตลาดต่างประเทศเพิ่มจากปัจจุบันมี 3 ประเทศ (กัมพูชา, เมียนมาร์และอินเดีย) ขาดทุน 350 ลบ. ในปี 2024, สำหรับ ฟิลิปินส์มีจุดเด่น GDP โตสูง 5-6% และมีประชากร 116 ล้านคน อย่างไรก็ตาม สาขาใหม่จะเปิดปลายปี 2026 และปกติ 1-2 ปีแรกจะยังขาดทุน เราจึงคาดไม่กระทบกำไรปี 2025-26 ที่คาดโต +4%YoY และ +13%YoY ตามลำดับ เรายังคงแนะนำ ซื้อ

 

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้