Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 8 เดือนแรกปี 68 ธุรกิจใหม่ทะลุ 5.9 หมื่นราย ทุนจดทะเบียนแตะ 1.94 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 4% ด้านต่างชาติแห่ลงทุนไทยกว่า 2.25 แสนล้าน โต 125%

109

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (24 กันยายน 2568 )-----กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยตัวเลขจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 8 เดือนแรกปี 2568 แม้จะลดลงเล็กน้อย แต่ทุนจดทะเบียนรวมกลับขยายตัวเป็น 194,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 7,900 ล้านบาท หรือ 4.24% จากปี 2567 โดยธุรกิจที่ขยายตัวโดดเด่น ได้แก่ ขายส่งสินค้าทั่วไป โรงแรม และโลจิสติกส์ สะท้อนการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยสู่ทิศทางใหม่ ด้านการลงทุนจากต่างชาติในไทยช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 พุ่งแตะ 225,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 125% จากปีก่อน โดยมีนักลงทุนต่างชาติ 687 ราย เข้ามาจัดตั้งธุรกิจในไทย ญี่ปุ่น อเมริกา และสิงคโปร์ครองอันดับต้น ขณะที่พื้นที่ EEC ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 74,792 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเม็ดเงินลงทุนรวม ตอกย้ำความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยบนเวทีโลก และสรุปผลงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พลิกโฉมบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เสริมแกร่ง SME ไทยกว่า 9.8 หมื่นราย พร้อมเดินหน้ากำกับดูแลธรรมาภิบาล ปราบปรามนอมินี และสร้างความน่าเชื่อถือแก่นิติบุคคล

 

          นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนสิงหาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,641 ราย เพิ่มขึ้น 42 ราย (0.55%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2567 (7,599 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 23,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,539 ล้านบาท (31.38%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2567 (17,650 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้น 1,171 ล้านบาท (5.32%) เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2568 ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 592 ราย ทุนจดทะเบียน 997 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 360 ราย ทุนจดทะเบียน 1,676 ล้านบาท  3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 293 ราย ทุนจดทะเบียน 935 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.75%, 4.71% และ 3.83% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนสิงหาคม 2568 ตามลำดับ

 

          ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 6,366 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เน็กซ์ดีซี กรุ๊ป (ทีเอช) จำกัด ทุนจดทะเบียน 3,440 ล้านบาท ประกอบกิจการพัฒนาและประกอบกิจการศูนย์บริการระบบข้อมูล (Data Center) บริษัท เคเจพี โฮลดิ้ง จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,586 ล้านบาท ประกอบกิจการร่วมลงทุนกับนิติบุคคล บุคคล องค์การ สถาบัน ทั้งในประเทศเเละต่างประเทศ ในกิจการธุรกิจทุกประเภท และบริษัทนราธิวาส ซิตี้ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,340 ล้านบาท ประกอบกิจการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (โดยมิใช่ธุรกิจหลักทรัพย์)

 

          อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ช่วง 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568) มีจำนวน 59,189 ราย ลดลง 2,630 ราย (4.25%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (61,819 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 194,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,914 ล้านบาท (4.24%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (186,433 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 4,699 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,619 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,411 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.94%, 6.11% และ 4.07% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในช่วง 8 เดือนของปี 2568 ตามลำดับ

 

        การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวน 1,660 ราย ลดลง 403 ราย (19.53%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2567 (2,063 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 12,334 ล้านบาท ลดลง 1,480 ล้านบาท (10.72%) เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2567 (13,814 ล้านบาท) สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 121 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 210 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 91 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 353 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 66 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 118 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.29%, 5.48% และ 3.98%

 

จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนสิงหาคม 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ เดือนสิงหาคม 2568 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการ 1 ราย คือ บริษัททรู มัลติมีเดีย จำกัด ทุนจดทะเบียน 6,562.00 ล้านบาท ประกอบกิจการค่าบริการใช้โครงข่ายมัลติมีเดีย และค่าบริการทางเทคนิค

 

การจดทะเบียนเลิกช่วง 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568) มีจำนวน 9,729 ราย ลดลง 263 ราย    (2.63%) เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2567 (9,992 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 63,033 ล้านบาท ลดลง 36,360 ล้านบาท (36.58%) เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2567 (99,393 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 828 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 503 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 418 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.51%, 5.17% และ 4.30% จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ตามลำดับ

 

สำหรับสัดส่วนของการจัดตั้งธุรกิจและจดเลิกในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 6:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 6 ราย เลิก 1 ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ทั้งนี้ ในปี 2568 มีจำนวนจัดตั้งใหม่ 59,189 ราย   ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่มีจำนวน 54,746 ราย และยังคงเป็นไปตามวัฏจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ สำหรับประเภทธุรกิจที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วง 8 เดือนของปี 2568 ใน 3 อันดับแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 คือ 1) ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เพิ่มขึ้น 368 รายคิดเป็น 51.18% 2) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เพิ่มขึ้น 305 ราย คิดเป็น 44.79% และ 3) ธุรกิจขนส่ง ขนถ่ายสินค้า และคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 288 ราย คิดเป็น 26.18% ขณะที่ธุรกิจชะลอการจัดตั้งใน 3 อันดับคือ 1) ธุรกิจตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 343 ราย คิดเป็น 27.77% 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 1,079 ราย คิดเป็น 22.97% และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร ลดลง 427 ราย คิดเป็น 15.05%

 

            ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,024,018 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.16 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 970,953 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.83 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 769,048 ราย หรือ 79.21% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 17.10 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 200,409 ราย หรือ 20.64% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,496 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.30 ล้านล้านบาท  สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 526,852 ราย ทุนจดทะเบียน 13.21 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 317,596 ราย ทุน 2.59 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 126,505 ราย ทุน 7.03 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.26%, 32.71% และ 13.03% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ

 

การลงทุนของชาวต่างชาติ 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568)

          การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของ   คนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในช่วง 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568) มีจำนวน 687 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 181 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 506 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 225,536 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 152 ราย (28%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (535 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 125,474 ล้านบาท (125%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (100,062 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

 

            1. ญี่ปุ่น 125 ราย คิดเป็น 18% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 71,844 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทเครื่องประดับและธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรทุกประเภท ชิ้นส่วนพลาสติกทุกประเภท ตัวถัง (frame) รวมทั้ง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถบ้าน และรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร

            2. สหรัฐอเมริกา 105 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,433 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนในการรับจองห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ ยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

            3. สิงคโปร์ 93 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 68,495 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง ธุรกิจบริการ Data Center ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานพาหนะ ชิ้นส่วนสำหรับ Optical Device และ Terminal Connector

            4. จีน 87 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 20,785 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า  ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฎิบัติงานด้วยสมองกลเอง ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์จากผงโลหะ และ Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

            5. ฮ่องกง 74 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 12,372 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานและสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอ่าวไทย ธุรกิจบริการรับจ้างตัดโลหะ ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ผลไม้แปรรูป และ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

 

            สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 197 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน   ของปี 2567 จำนวน 34 ราย (21%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 74,792 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 48 ราย ลงทุน 14,862 ล้านบาท ญี่ปุ่น 47 ราย ลงทุน 27,153 ล้านบาท สิงคโปร์ 21 ราย ลงทุน 12,940 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 81 ราย ลงทุน 19,837 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจบริการเขต Data Center และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าไมโครเวฟ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป เป็นต้น

 

ผลงาน 2 ปี 'อธิบดีอรมน' จากนักเจรจา สู่ การพัฒนา SME

          ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาภายใต้การบริหารงานของตนได้ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญเพื่อยกระดับการให้บริการแก่ภาคธุรกิจและประชาชน โดยยึดภารกิจใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านแรก การจดทะเบียนและบริการข้อมูลธุรกิจ ได้พัฒนาระบบให้บริการผ่านอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ อาทิ ระบบจดทะเบียนบริษัทมหาชน (e-PCL), เพิ่มฟังก์ชันในระบบขอหนังสือรับรองนิติบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate File) ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน, ระบบขออนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและขอหนังสือรับรอง (e-Foreign Business) และระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล (DBD Biz Regist)     ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2568 มีผู้ใช้บริการยื่นคำขอผ่านระบบ 75.52% พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ช่วยลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการกว่า 7,100 ล้านบาทต่อปี ขณะที่สัดส่วนการใช้บริการผ่านระบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 82% ในปี 2568

 

          ด้านที่สอง การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME และธุรกิจเป้าหมายกว่า 12 กลุ่ม มีผู้ผ่านการพัฒนากว่า 98,000 ราย ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น งานมหกรรมรวมพลัง SME ไทย (Thailand SME Synergy Expo 2024) เกิดมูลค่าการเจรจาถึง 193,075,878 บาท, การพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ไทยเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ การส่งเสริมการค้าออนไลน์และการใช้เครื่องหมาย DBD Registered ที่ปัจจุบันมีร้านค้าออนไลน์ได้รับการรับรองกว่า 121,732 ร้าน รวมถึงสนับสนุนธุรกิจชุมชนผ่านโครงการ Digital Village by DBD ครอบคลุม 116 ชุมชนทั่วประเทศ, สร้างตลาดใหม่ให้กลุ่มธุรกิจบริการทั้ง ธุรกิจ Wellness และร้านอาหารไทยผ่านตราสัญลักษณ์ Thai SELECT กว่า 496 ร้าน, พัฒนาศูนย์กลางการเรียนรู้ออนไลน์ หรือ DBD Academy ปรับหลักสูตรให้ทันสมัยธุรกิจพร้อมสร้างตัวในปัจจุบัน, ร่วมมือกับพันธมิตรส่งเสริมการนำทรัพย์หลักประกันเข้าถึงแหล่งเงินทุน, การสร้างเครือข่าย MOC Biz Club กว่า 14,998 ราย และการส่งเสริมธุรกิจชุมชน SMART Local และสมุนไพรไทยให้มีโอกาสขยายตลาดมากยิ่งขึ้น

 

          ด้านที่สาม การสร้างธรรมาภิบาลธุรกิจ ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล ปราบปรามธุรกิจนอมินีและนิติบุคคลบัญชีม้า เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคล พร้อมสร้างระบบตรวจสอบที่ตั้งฯ ให้ประชาชนได้ตรวจเช็ค และพัฒนาระบบ IBAS เพื่อติดตามพฤติกรรมนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง อีกทั้งยังส่งเสริมมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจไทย โดยมีธุรกิจที่ผ่านการรับรองแล้วกว่า 270 ราย สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจไทยที่โปร่งใสและยั่งยืน

 

          ทั้งนี้ ผลงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัล อาทิ รางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น และรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ระดับ Advance ตอกย้ำความสำเร็จของการขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล พร้อมเดินหน้าสนับสนุนภาคธุรกิจไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างมั่นคงบนเวทีเศรษฐกิจโลก 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

เด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ไปตามกระแสตลาดหุ้นไทย ภาคเช้าที่ผ่านมาเด้งกลับ แต่ยังไปถึง 1280 จุด รอ...

NAM โชว์นวัตกรรมการแพทย์ในงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025

NAM โชว์นวัตกรรมการแพทย์ในงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้