Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ฟิทช์คงอันดับเครดิต EPG ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

92

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 12 กันยายน 2568)-------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิ ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

 

การประกาศคงอันดับเครดิตของบริษัทฯ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า EPG จะสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ที่ระดับต่ำกว่า 1.0 เท่า ในช่วงสามปีข้างหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งควบคู่กับค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน (Capex) ในระดับปานกลาง

 

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการรองรับหนี้สิน (Leverage headroom) ที่เพียงพอของ EPG และฐานะผู้นำในตลาดเฉพาะ (niche market) โดยมีการกระจายแหล่งที่มาของกระแสเงินสดจากหลายภูมิภาค EBITDA Net Leverage ลดลงมาอยู่ที่ 0.9 เท่า ปีงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 (ปีงบการเงิน 2568) จากระดับสูงสุดที่ 1.3 เท่าในปีงบการเงิน 2566 ภายหลังการเข้าซื้อกิจการในประเทศออสเตรเลีย ทั้งนี้อันดับเครดิตของบริษัทฯ ได้ถูกจำกัดจากขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

กระแสเงินสดสุทธิสนับสนุนการลดอัตราส่วนหนี้สิน: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ EPG จะลดลงสู่ระดับ 0.8 เท่าในปีงบการเงิน 2569 และจะลดลงต่ำกว่า 0.5 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ฟิทช์คาดว่า EPG จะมีกระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ประมาณ 200-500 ล้านบาทต่อปี โดยมีแรงหนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มั่นคงและค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในระดับปานกลาง กระแสเงินสดสุทธิที่เป็นบวกจะช่วยสนับสนุนการลดอัตราส่วนหนี้สินในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินของ EPG เคยอยู่ในระดับต่ำกว่า 0.5 เท่าก่อนการเข้าซื้อกิจการ 4 Way Suspension Products Pty Ltd. (4WS) ในปีงบการเงิน 2566 และปรับขึ้นเป็น 1.3 เท่าหลังการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว

 

กระแสเงินสดที่มั่นคง: ฟิทช์คาดว่ารายได้จะเติบโตร้อยละ 1-2 ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ฉนวนเพิ่มขึ้นจากสหรัฐอเมริกาและการฟื้นตัวของภาคยานยนต์ การเติบโตของปริมาณขายมีแนวโน้มถูกชดเชยบางส่วนด้วยราคาขายที่ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาทในปีงบการเงิน 2569 ฟิทช์ประเมินว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) จะค่อยๆ ปรับสูงขึ้นสู่ร้อยละ 15 ในปีงบการเงิน 2570 จากร้อยละ 14 ในปีงบการเงิน 2568 จากต้นทุนการขนส่งที่กลับสู่ภาวะปกติจากความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง กลยุทธ์การจัดหาวัตถุดิบ และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง เมื่อการดำเนินงานของกิจการร่วมทุนของ EPG มีเสถียรภาพมากขึ้น

 

ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในระดับปานกลาง: ฟิทช์คาดว่า EPG จะมีการลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาทในปีงบการเงิน 2569 โดยเน้นการขยายธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศแอฟริกาใต้และขยายกำลังการผลิตฉนวนในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ เพื่อใช้สำหรับการซ่อมบำรุงประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากกำลังการผลิตที่มีอยู่เพียงพอต่อการรองรับการเติบโตของรายได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 1.7 พันล้านบาทต่อปี

 

ฟิทช์คาดการณ์ว่าการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่จะยังไม่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยเชื่อว่า EPG จะให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าจากการเข้าซื้อกิจการในออสเตรเลียที่ผ่านมา

 

ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และธุรกิจปลายทาง: EPG มีผลิตภัณฑ์ที่กระจายตัวไปในหลายธุรกิจ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์ฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถยนต์ และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจรถยนต์และธุรกิจก่อสร้าง และอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่ต่ำและการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม    โดยธุรกิจของ EPG ได้ส่งเสริมและรับประโยชน์ร่วมกัน จากการจัดหาวัตถุดิบ และการวิจัยและการพัฒนา การลงทุนของ EPG ใน 4WS จะช่วยขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์ จากปัจจุบันที่ผลิตผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์จากโพลีเมอร์

 

ฐานลูกค้าที่กระจายตัวตามภูมิภาคต่างๆ: EPG ขายชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ ประมาณร้อยละ 50-60 ให้กับผู้รับจ้างที่ออกแบบและผลิตสินค้า (Original Design Manufacturer) และผู้รับจ้างผลิตสินค้า (Original Equipment Manufacturer) ให้กับบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก  ในส่วนที่เหลือขายให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และร้านจำหน่ายสินค้าตกแต่งรถในประเทศและต่างประเทศ กว่า 100 ประเทศทั่วโลกภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯเอง      สำหรับธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น  รายได้ประมาณร้อยละ 30 มาจากยอดขายในประเทศ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นการขายให้กับโครงการก่อสร้าง โดยมีโรงงานผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นหลัก ในประเทศไทย และประเทศสหรัฐฯ     สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหาร รายได้ประมาณร้อยละ 90 มาจากยอดขายในประเทศ ซึ่งประมาณร้อยละ 40 ของยอดขายในประเทศเป็นการขายให้กับบริษัทฯ ผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารชั้นนำรวมทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่

 

ขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็กและความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่ผันผวน: อันดับเครดิตของ EPG ได้ถูกจำกัดจากขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นภายในประเทศที่มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า นอกจากนี้ EPG มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบ โดยวัตถุดิบหลักได้แก่ สารประกอบโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40-50 ของต้นทุนสินค้าที่ขาย และได้รับอิทธิพลจากราคาน้ำมันดิบ ฟิทช์คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวในระดับที่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงต่ออัตรากำไร แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาโพลีเมอร์จากปัจจัยมหภาคอาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ชั่วคราว

 

ในอดีต EPG สามารถปรับขึ้นราคาขายในกลุ่มชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ และฉนวนยางกันความร้อน/เย็นได้หลังราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นราวสองเดือน สะท้อนการแข่งขันที่จำกัด

 

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

EPG มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต แต่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า   สถานะทางธุรกิจและสถานะทางการเงินของ EPG มีความใกล้เคียงกันกับ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (A-(tha)/แนวโน้มมีเสถียรภาพ) KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกวัดจากรายได้   KCE ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนลงด้วยการที่บริษัทเน้นผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งมีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว  ทั้งนี้ KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA margin ที่สูงกว่า  ทั้งนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีผลการจัดอันดับที่อยู่ในระดับเดียวกันจากสถานะทางธุรกิจและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ

 

บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG, A-(tha)/แนวโน้มมีเสถียรภาพ) ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมนวนคร ให้บริการแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT, BBB+/แนวโน้มมีเสถียรภาพ) และผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม EPG ได้รับประโยชน์จากการกระจายตัวของธุรกิจที่ดีกว่าและมีขนาดการดำเนินงานที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ NNEG อย่างไรก็ดี NNEG มีความเสี่ยงทางธุรกิจที่ต่ำกว่า โดยได้รับแรงหนุนจากความชัดเจนของกระแสเงินสดระยะยาวผ่านสัญญาขายระยะยาวและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สม่ำเสมอ EPG ได้รับการจัดอันดับในระดับเดียวกับ NNEG เนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่ามาก

 

EPG มีขนาดธุรกิจเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP, A(tha)/แนวโน้มมีเสถียรภาพ)   ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย หนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศไทย EPG ให้บริการแก่ตลาดปลายทางและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า ซึ่งถ่วงดุลกับ SCGP มีการวางตำแหน่งธุรกิจที่โดดเด่นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม SCGP มีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่สถานะทางธุรกิจและขนาดที่แข็งแกร่งกว่าทำให้ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่าหนึ่งระดับ

 

สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:

-               รายได้เติบโตร้อยละ 1-2 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2569-2571

-               Operating EBITDA margin อยู่ที่ระดับร้อยละ 14-15 (ปีงบการเงิน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 13.8)

-               ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 26 จากค่าขนส่งที่ลดลง (ปีงบการเงิน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 27.3)

-               ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาทในปีงบการเงิน 2569 และ 600 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปีงบการเงิน 2570

-               จ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 60 - 65 ของกำไรสุทธิ

 

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ:

-               กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลง หรือการลงทุนโดยใช้หนี้ที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ EBITDA Net Leverage สูงกว่า 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

-               สถานะทางธุรกิจหรือความสามารถในการแข่งขันอ่อนแอลง ทำให้ EBITDA ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยบวก:

-               ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทฯ ในช่วง 24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากขนาดธุรกิจของ EPG มีขนาดเล็กกว่าบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า

 

สภาพคล่อง

บริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดภายใน 12 เดือนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2569 ของ EPG มีจำนวนรวม 2,821 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้ระยะสั้นประมาณ 1,871 ล้านบาทที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเงินทุนหมุนเวียน หุ้นกู้ 600 ล้านบาท และส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 350 ล้านบาท สภาพคล่องได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 2,791 ล้านบาท และวงเงินกู้เพื่อเงินทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เบิกใช้ 4.2 พันล้านบาท

 

EPG มีแผนจะรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2568 ด้วยเงินกู้จากธนาคาร ฟิทช์เชื่อว่าสภาพคล่องของบริษัทฯจะได้รับการสนับสนุนโดยการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารในประเทศที่เพียงพอ เนื่องจากบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานและสถานะทางเครดิตที่ดี

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

สู้ชีวิตกันต่อไป By : เจ๊มดแดง

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บนความหวัง เฟด ลดดอกเบี้ย ในสัปดาห์หน้า วงจรดอกเบี้ยขาลง นับเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย .....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้