สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 5 กันยายน 2568)-------ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating: IDR) ของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ที่ 'BB' และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ที่ 'A-(tha)' โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
พร้อมกันนี้ฟิทช์ยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ของ MTC ที่ ‘BB’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้สกุลเงินบาทที่ ‘A-(tha)’ ตามลำดับ
ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
โครงสร้างเครดิตของบริษัทเป็นปัจจัยหนุนอันดับเครดิต: อันดับเครดิตของ MTC สะท้อนถึงเครือข่ายในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ ความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจ และหนี้สินที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ถือเป็นจุดแข็งดังกล่าวได้ถูกลดทอนลงบางส่วนจากรูปแบบธุรกิจที่เน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม โครงสร้างการจัดการที่มีการพึ่งพาตัวบุคคลมากขึ้น (less institutionalized) การมุ่งเน้นไปที่ลูกค้ารายได้น้อยซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องส่วนเกินเพื่อช่วยรองรับความเสี่ยงที่อยู่ในระดับค่อนข้างน้อย และโครงสร้างเงินกู้ที่ไม่กระจายตัวมากนัก ทั้งนี้ อันดับเครดิตภายในประเทศของ MTC ยังพิจารณาถึงโครงสร้างเครดิตของ MTC เทียบกับบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศโดยฟิทช์
สภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ซบเซา: ฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของ GDP ของไทยจะชะลอตัวลงเป็น 1.9% ในปี 2568 และ 1.8% ในปี 2569 จาก 2.5% ในปี 2567 โดยมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาผนวกกับภาระหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง (87.5% ของ GDP ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2568) น่าจะทำให้สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเติบโตช้าลงในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่าความเสี่ยงที่คุณภาพสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจนี้จะปรับตัวด้อยลงอย่างมากนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากยังมีแรงหนุนจากภาวะการจ้างงานที่ยังอยู่ในระดับที่เพียงพอและมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นของผู้ประกอบการรายใหญ่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน: โครงสร้างธุรกิจของ MTC ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้ให้สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยพิจารณาจากมูลค่าเงินให้สินเชื่อและจำนวนสาขา บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจสินเชื่อจำนำโฉนดที่ดิน และยังมีการนำเสนอสินเชื่ออื่นเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เสริมเช่น สินเชื่อไม่มีหลักประกันและเช่าซื้อแก่ลูกค้าสินเชื่อจำนำทะเบียนของบริษัท อย่างไรก็ตาม โครงสร้างธุรกิจยังถูกจำกัดจากลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์สินเชื่อเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมธุรกิจการเงินโดยรวมที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และฐานลูกค้าหลักของ MTC ที่มีรายได้น้อยกว่า
การพิจารณาสินเชื่อจากมูลค่าหลักประกันช่วยลดทอนความเสี่ยง: MTC มุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกหนี้ในเขตกึ่งเมืองและชนบท (semi-urban and rural) เป็นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปมักมีฐานรายได้ที่ต่ำกว่าและไม่มั่นคงเท่ากับลูกค้ากลุ่มในเขตเมือง MTC มีการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงนี้ โดยเน้นการให้สินเชื่อที่มีหลักประกันในวงเงินขนาดเล็ก และรักษาระดับมูลค่าของหลักประกันให้สอดคล้องเพียงพอกับวงเงินกู้
คุณภาพของสินทรัพย์ปรับตัวด้อยลงแต่ยังน่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อรวม (credit cost) ของ MTC น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2569 (โดยมีอัตราส่วนที่คำนวณเป็นรายปีสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 2.6% และ 2.5% ตามลำดับ; ปี 2567 ที่ระดับ 2.7% และ 3.0%) เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่น่าจะเริ่มส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ไม่คาดว่าคุณภาพสินทรัพย์จะปรับตัวอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2567 เนื่องมาจากมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นตั้งแต่ปี 2566 และตลาดแรงงานในประเทศที่ยังมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ การประเมินคุณภาพสินทรัพย์ของ MTC ยังพิจารณาถึงอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ค่อนข้างสูงในอดีต
ความสามารถในการทำกำไรโดยรวมทรงตัว: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เฉลี่ยของ MTC จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงสูงกว่า 4% ในช่วงสองปีข้างหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อโดยรวมที่ทรงตัวและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เฉลี่ยที่คำนวณเป็นรายปีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ทรงตัวที่ระดับ 4.6% (ปี 2567 : 4.5%) เนื่องจากอัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อรวมปรับตัวลดลง ซึ่งชดเชยกับอัตราส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ปรับตัวแคบลง นอกจากนี้ ฟิทช์คาดว่าแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนสูงของ MTC น่าจะยังกดดัน NIM ในปี 2568 โดยที่ NIM น่าจะเริ่มทรงตัวได้ในปี 2569 จากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในประเทศที่ปรับตัวลดลงและน่าจะเริ่มเป็นประโยชน์ต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท
ระดับหนี้สินน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป: อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของทุนที่จับต้องได้ (debt/tangible equity) ของ MTC ปรับตัวลดลงเป็น 3.4 เท่า ณ สิ้นครึ่งปีแรกของปี 2568 (จากสิ้นปี 2567: 3.5 เท่า) ฟิทช์คาดว่าการปรับตัวลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวจะดำเนินต่อไปในช่วงสองปีข้างหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลงและการสะสมกำไรที่ยังต่อเนื่อง ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทยังต่ำกว่าช่วงเกณฑ์มาตรฐานสำหรับคะแนนปัจจัยด้านระดับหนี้สินที่ ‘bb’ ที่ 4-7 เท่า สะท้อนถึงการพิจารณาของฟิทช์ถึงฐานลูกค้าของ MTC ที่มีความเสี่ยงสูง ความหลากหลายของรายได้ที่ยังจำกัด ความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่มีมากกว่า และระดับข้อกำหนดทางการเงิน (Covenant) ที่บริษัทต้องปฏิบัติตาม
การกระจายแหล่งเงินทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป: การประเมินด้านโครงสร้างการระดมเงินทุนและสภาพคล่อง (funding and liquidity profile) ของ MTC ยังถูกจำกัดด้วย สัดส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อยู่ในระดับไม่สูงนัก และความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับภูมิภาคที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า ดังนั้น ความสามารถในการชำระหนี้ของ MTC จึงอ้างอิงมาจากกระแสเงินสดรับจากลูกหนี้เงินกู้และการจัดหาเงินกู้ยืมใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้เดิม (refinance) นอกจากนี้ความพยายามที่เพิ่มขึ้นในการจัดหาเงินทุนจากต่างประเทศในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้ช่วยให้ MTC ขยายฐาน ผู้ให้กู้ และลดการพึ่งพาการออกหุ้นกู้ภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ฟิทช์คาดว่าแหล่งเงินทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะหุ้นกู้สกุลเงินบาท จะยังเป็นแหล่งเงินทุนหลักของ MTC ในระยะสั้น เนื่องจากเงื่อนไขการระดมทุนในประเทศโดยทั่วไปนั้นเอื้ออำนวยมากกว่า
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว อาจได้รับแรงกดดัน หากมีสัญญาณความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจนทำให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 5% ควบคู่กับ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของทุนที่จับต้องได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเกินกว่า 4 เท่า โดยไม่มีแนวทางในการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่สูงอย่างต่อเนื่อง หรือ อาจมีการปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทได้ หากโครงสร้างการระดมเงินทุนหรือสภาพคล่องของ MTC มีการปรับตัวด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นของเจ้าหนี้ที่มีการปรับตัวด้อยลงอย่างต่อเนื่อง
การปรับลดอันดับคะแนนปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน อาจส่งผลให้มีการประเมินแนวโน้มธุรกิจของ MTC ใหม่ และอาจนำไปสู่การดำเนินการเชิงลบต่ออันดับเครดิตได้ ตัวอย่างเช่น อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทอย่างมาก เหตุวิกฤตทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ หรือสถานะการเงินของภาคครัวเรือนมีการปรับตัวอ่อนแอลงอย่างมาก เป็นต้น
อันดับเครดิตภายในประเทศ
การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว ของ MTC อาจส่งผลให้อันดับเครดิตภายในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ฟิทช์จะพิจารณาเปรียบเทียบกับโครงสร้างเครดิตกับบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับจากฟิทช์ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวและอันดับเครดิตภายในประเทศ
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ MTC อาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับ หาก MTC ดำเนินกลยุทธ์การเติบโตอย่างรอบคอบ ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับมั่นคงได้ตลอดช่วงวัฏจักรธุรกิจ ทั้งนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า MTC มีการบริหารจัดการโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนจากระดับสภาพคล่องส่วนเกินที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับหนี้สินระยะสั้นที่ไม่น้อยกว่า 0.25 เท่า
การปรับเพิ่มอันดับสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลาง เว้นแต่จะมีการปรับตัวดีขึ้นของคะแนนในหลายปัจจัยอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง
อันดับเครดิตตราสารหนี้และอันดับเครดิตอื่น: ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ และโครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน Global Medium-Term Note (GMTN) มูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของบริษัท ที่ ‘BB’ และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินบาทอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ MTC ที่ ‘A-(tha)’ เนื่องจากเป็นภาระผูกพันที่ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท
อันดับเครดิตตราสารหนี้และอันดับเครดิตอื่น: ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
อันดับเครดิตของโครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน (GMTN) สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของบริษัท
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันสกุลเงินบาทของ MTC จะสอดคล้องกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัท
การปรับคะแนนของปัจจัยในการพิจารณาโครงสร้างอันดับเครดิต
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานได้รับการจัดอันดับให้อยู่สูงกว่าคะแนนตามเกณฑ์เนื่องจากการปรับเพิ่มคะแนนด้วยปัจจัยด้านอันดับเครดิตของประเทศ
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านโครงสร้างธุรกิจได้รับการจัดอันดับให้อยู่ต่ำกว่าคะแนนตามเกณฑ์เนื่องจากการปรับลดคะแนนด้วยปัจจัยด้านรูปแบบธุรกิจ (business model)
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านคุณภาพสินทรัพย์ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ต่ำกว่าคะแนนที่ตามเกณฑ์เนื่องจากการปรับลดคะแนนด้วยปัจจัยด้านการเติบโต (growth)
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านรายได้และความสามารถในการทำกำไรได้รับการจัดอันดับให้อยู่ต่ำกว่าคะแนนตามเกณฑ์เนื่องจากการปรับลดคะแนนด้วยปัจจัยด้านการกระจายรายได้ (revenue diversification)
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านการระดมทุนและการก่อหนี้ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ต่ำกว่าคะแนนตามเกณฑ์เนื่องจากการปรับลดคะแนนด้วยปัจจัยด้านโครงสร้างความเสี่ยงและรูปแบบธุรกิจ (risk profile and business model)
แหล่งที่มาของข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
แหล่งที่มาของข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นไปตามรายละเอียดที่อธิบายไว้ในเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
MTC มีคะแนนความเกี่ยวข้องกับ ESG (ESG Relevance Score) ที่ระดับ '3' สำหรับสวัสดิการลูกค้า เมื่อเทียบกับคะแนนมาตรฐานที่ '2' สำหรับอุตสาหกรรมการเงิน สะท้อนถึงการดำเนินงานที่มุ่งเน้นในกลุ่มลูกค้ารายย่อยของบริษัท ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการให้สินเชื่ออย่างยุติธรรม ความโปร่งใสในการกำหนดราคา การยึดทรัพย์ การขายและการเก็บหนี้ การปฏิบัติเชิงรุกในด้านเหล่านี้อาจทำให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายหรือการกำกับดูแลและความเสี่ยงด้านชื่อเสียงที่อาจทำลายโครงสร้างอันดับเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ คะแนน '3' สำหรับปัจจัยนี้สะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ว่าความเสี่ยงเหล่านี้ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมและมีผลกระทบต่ำต่อโครงสร้างเครดิตของบริษัท
อันดับสูงสุดของคะแนนความเกี่ยวข้องกับ ESG คือคะแนน '3' เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่นในส่วนนี้ คะแนน '3' หมายความว่า ปัญหา ESG ไม่มีผลกระทบต่อเครดิตหรือมีผลกระทบต่ออับดับเครดิตของบริษัทเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากลักษณะหรือวิธีการที่บริษัทจัดการกับปัญหาเหล่านี้ คะแนนความเกี่ยวข้องกับ ESG ของฟิทช์ไม่ใช่ปัจจัยในการประเมินการจัดอันดับเครดิต แต่เป็นการสังเกตุความเกี่ยวข้องและความสำคัญของปัจจัย ESG ในการตัดสินใจจัดอันดับเครดิต สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคะแนนความเกี่ยวข้องกับ ESG ของฟิทช์ หาได้จาก www.fitchratings.com/topics/esg/products#esg-relevance-scores
รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดของ MTC มีดังนี้:
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวคงอันดับเดรดิตที่ ‘BB’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเดรดิตที่ ‘A-(tha)’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ คงอันดับเดรดิตที่ ‘BB’
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของโครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน Global Medium-Term Note (GMTN) คงอันดับเดรดิตที่ ‘BB’
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันสกุลเงินบาท คงอันดับเดรดิตที่ ‘A-(tha)’