AT THE OPEN (#ATO)
SET Index แกว่งในกรอบ 1250-1270

เลือกหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
Market Strategy
SET Index แกว่งตามกรอบ 1250-1270 จุด การเมืองที่น่าจะเริ่มเห็นภาพชัดมากขึ้นเป็นปัจจัยช่วยหนุน แต่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับฐานเป็นปัจจัยจำกัดการฟื้นตัว วันนี้ติดตามเงินเฟ้อไทยเดือน ส.ค. หุ้นเลือก STECON TTB

ปัจจัยการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ หลังจากวานนี้กระแสข่าวสำนักองคมนตรีตีกลับร่าง พ.ร.ฎ. ยุบสภา หากเป็นจริงทำให้เพื่อไทยไม่สามารถยุบสภา ขณะที่ล่าสุดสภาฯได้บรรจุระเบียบวาระเลือกนายกฯ เป็นวันที่ 5 ก.ย. ซึ่งคาดว่าคุณอนุทินจะได้รับโหวตเป็นนายกฯ ภายใต้สถานการณ์ข้างต้นเราตีความในเชิงบวกจาก Overhang ประเด็นการเมืองที่จะค่อยๆ คลี่คลายเป็นปัจจัยหนุนต่อ SET Index ในเชิงกลยุทธ์น่าจะเป็นจังหวะในการเก็งกำไรหุ้นที่มักปรับขึ้นตามกระแสของพรรคภูมิใจไทย STECON กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีโอกาสลดระดับความตึงเครียด CBG กลุ่มที่คาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้น MTC

ราคาน้ำมันดิบ Brent วานนี้ปรับลง -2.23% จากความกังวลต่อการเพิ่มกำลังการผลิตในก้อน 1.65 mbpd ที่แผนเดิมสิ้นสุดการควบคุมการผลิตสิ้นปี 2569 ซึ่งติดตามความชัดเจนในการประชุม OPEC+ ในวันที่ 7 ก.ย. 68 ต่อไป ระยะสั้นเป็นปัจจัยกดดันต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำ โรงกลั่น PTTEP TOP แต่อีกด้านหนึ่งมองเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงกลุ่มโรงไฟฟ้าชอบ GPSC กลุ่มสายการบิน BA

ตลาดหุ้นสหรัฐฯบวกลบผสมผสานในช่วง -0.05% ถึง +1% โดยให้ความสนใจที่รายงานตัวเลขตำแหน่งงานว่างเดือน ส.ค.ที่ต่ำกว่าคาดและต่ำสุดในรอบ 10 เดือน สะท้อนตลาดแรงงานที่เปราะบาง หนุนตลาดเชื่อ FED ลดดอกเบี้ยโอกาสเพิ่มเป็น 97% แต่ตัวเลขสำคัญคงให้น้ำหนักไปรายงาน NFP และอัตราว่างงานในวันศุกร์นี้

Market Summary
SET Index ปรับขึ้น 10.5 จุด ท่ามกลางการชิงเหลี่ยมทางการเมือง หลังพรรคประชาชนสนับสนุน คุณอนุทินเป็นนายกฯ ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทยทูลเกล้ายุบสภาฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้นเด่นเป็นหุ้น Domestic Play ที่ Outperform จากคาดหวังต่อการเมืองใกล้คลี่คลาย นำโดย กลุ่มค้าปลีก +3% กลุ่มไฟแนนซ์ +2% กลุ่มสื่อ PLANB +7.7% และกลุ่มนิคม WHA +3.4% AMATA +5.7% นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1.9 พันล้านบาท

DAILY Stock Pick
STECON
ลุ้น ปัจจัยการเมือง
ภายในประเทศ คลายตัว
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 9.00 บาท
ติดตามความคืบหน้าการโหวตนายกในวันที่ 4-5 ก.ย. นี้ หากการโหวตดังกล่าวสิ้นสุดในกรอบเวลาเดิม ส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 เป็นไปตามปกติ เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ และ Backlog
เราคาดกำไร 2H68 +%YoY หนุนจาก GPM ที่สูงขึ้นจากการรับรู้สัดส่วนโครงการที่มีอัตรากำไรสูงมากขึ้น และ ไม่มีการรับรู้ขาดทุนจากโครงการบึงหนองบอน เทียบกับปีก่อน ในขณะที่ valuation PE’68 ที่ 14.7 เท่า พร้อมทั้ง Dividend yield 3.1%

WEEKLY Stock Pick
TTB
เราคาด ปันผล 1H68 สูงที่สุดในกลุ่ม
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 2.00 บาท
เราคาดว่า TTB จะประกาศจ่ายปันผล 0.065 บาทต่อหุ้น ใน 1H68 หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผล 3.4% สูงที่สุดในกลุ่มที่จ่ายปันผลเฉลี่ย 1.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน
กำไรในปี 69-70 เราคาดเติบโตเฉลี่ย 5% จากทั้งรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยและไม่ใช่ดอกเบี้ย ส่วนกำไรใน 2H68 เติบโต HoH เนื่องจาก Credit cost ที่ลดลง

KEY FACTOR
กระแสเงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิกลับเข้าตลาดหุ้นไทย +1.87 พันล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นอ้างอิงเศรษฐกิจในประเทศ สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อทิศทางการเมืองไทยที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นและจะนำไปสู่การเลือกตั้ง แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่สำนักองคมนตรีตีกลับร่าง พ.ร.ฎ. ยุบสภา ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที กระบวนการจึงย้อนกลับไปที่การโหวตเลือกนายกฯ (วันที่ 5 ก.ย.) จึงยังคงต้องจับตากระแสเงินทุนต่างชาติ ที่มีโอกาสไหลเข้ามาบนความคาดหวังการเลือกตั้งอาจทำให้ตลาดผันผวนระยะสั้น
ปัจจัยต่างประเทศวันนี้ ตลาดให้น้ำหนักไปที่ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ ประจำเดือน ส.ค. โดย Consensus คาดว่าการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) จะเพิ่มขึ้นเพียง 70,000 ตำแหน่ง ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 104,000 ตำแหน่ง การชะลอตัวดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนใช้ประกอบการประเมินทิศทางตลาดแรงงาน โดยจะถูกนำมาเทียบกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีน้ำหนักโดยตรงต่อการปรับคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของตลาดการเงินสหรัฐฯ

EYES ON
ในสัปดาห์ ความคืบหน้าการเลือกนายกฯ
3 ก.ย. RatingDog PMI ภาคบริการของจีนและ Eurozone
4 ก.ย. การจ้างงานเอกชน ADP ของสหรัฐฯ
5 ก.ย. การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ

นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ, ออมทรัพย์ โง้วศิริ