สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(3 กันยายน 2568)--------• Bitget ชี้บิตคอยน์มีโอกาสแตะระดับ 140,000 ดอลลาร์ และอีธีเรียมอาจแตะระดับ 6,000 ดอลลาร์ หากเฟดเดินนโยบายผ่อนคลาย แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ซื้อขายแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA)
• เผยปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคยังคงผันผวนแม้มีโอกาสสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ ฯจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนแต่หากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงอาจยังไม่เห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกในปีนี้
• ระยะสั้นนี้ราคาอีธีเรียมมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าบิตคอยน์จากปัจจัยพื้นฐานที่เกิดการใช้งานบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้นตลอดจนความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่มากขึ้น
นางสาวเกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก กล่าวว่าคำปราศรัยของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (เฟด) ในงานประชุมที่ Jackson Hole มีนัยยะสำคัญต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินคือคณะกรรมการนโยบายการเงินให้ความสำคัญกับแนวโน้มเงินเฟ้อมากกว่าความกังวลในตลาดแรงงานระยะสั้น จากข้อความนี้อาจทำให้ความผันผวนในตลาดการลงทุนยังคงมีอยู่ต่อไปเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ฯ ยังคงอยู่ในระดับ 2.7% สูงกว่าเป้าหมายระดับ 2% ค่อนข้างมาก
แม้ตลาดจะมองว่ามีความเป็นไปได้ 80% ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้ แต่อาจจะไม่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่นักลงทุนคาดหวังก็เป็นได้เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแบบชะงักงัน ( stagflation ) ที่เกิดจากการขึ้นราคาสินค้าด้วยภาษีขณะที่การเติบโตของแรงงานชะลอตัวลง เราจึงไม่สามารถคาดหวังได้ถึงการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ
“ทิศทางราคาบิตคอยน์และอีธีเรียมมีแนวโน้มที่จะขึ้นอยู่กับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ หากมีสัญญาณการใช้นโยบายที่เข้มงวด (hawkish) จากเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อราคาอาจปรับตัวลง แต่ถ้าส่งสัญญาณผ่อนคลาย (dovish) ราคาบิตคอยน์มีโอกาสแตะระดับ 140,000 ดอลลาร์ และอีธีเรียมอาจแตะระดับ 6,000 ดอลลาร์ แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ซื้อขายแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA)เพื่อลดความเสี่ยงจากความอ่อนไหวของคริปโทต่อปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค" นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว
นายไรอัน ลี หัวหน้านักวิเคราะห์ ของ บิตเก็ต กล่าวว่าแนวโน้มในช่วงระยะสั้นนี้ราคาอีธีเรียมมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าบิตคอยน์จากปัจจัยพื้นฐานที่เกิดการใช้งานบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้นตลอดจนความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่มากขึ้นทำให้เห็นแนวโน้มที่นักลงทุนระดับวาฬหรือรายใหญ่เริ่มที่จะมีการขายบิทคอยน์ออกมาเพื่อลงทุนในอีธีเรียมมากขึ้น
ขณะที่บิตคอยน์ยังคงมีปัจจัยบวกจากข้อมูล On-chain ชี้ให้เห็นถึงการลดลงของ ซัพพลายสำรองในกระดานเทรด (exchange reserves) บ่งบอกถึงแรงขายที่ลดลงและมีศักยภาพสำหรับการฟื้นตัว ภาพรวมในระยะกลางถึงยาวทั้งสองสินทรัพย์ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากอีธีเรียมที่มีแนวโน้มเติบโต กระแสของการเงินไร้ตัวกลางหรือ DeFi ยังมีโอกาสที่จะเติบโตเช่นกันจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศสนับสนุน DeFi เช่นเดียวกับ Stablecoin เห็นได้จากการเติบโตของทองคำในรูปแบบโทเคน (Tokenized Gold) ที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 2.5 พันล้านดอลลาร์ช่วยเปิดประตูสู่การเป็นเจ้าของแบบ fractional ownership ผู้ที่มีเงินลงทุนจำนวนไม่มากก็สามารถที่จะลงทุนสินทรัพย์ต่างๆได้
รวมถึงทองคำโทเคนไม่ใช่แค่การลงทุนเฉพาะกลุ่มรายย่อยอีกต่อไป ปัจจุบันมากกว่า 40% ของผู้ถือครอง นำโทเคนไปใช้ในกลยุทธ์ DeFi lending และ yield farming เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยง สะท้อนถึงความนิยมใน DeFi ที่เพิ่มสูงขึ้นและน่าจะเห็นโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น
โดยโปรเจกต์ที่ต้องจับตาคือ World Liberty Finance (WLFI) ซึ่งเป็น DeFi Protocol บริหารโดยลูกชายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเริ่มจากการออก Stablecoin ของตัวเอง ความนิยมในโปรเจกต์ดังกล่าวทำให้โทเคนที่เพิ่งเปิดตัวออกมาถูกลิสต์ในกระดานซื้อขายชั้นนำทั่วโลกรวมถึง Bitget ที่ลิสต์ในส่วนของ Innovation และ DeFi ต้องจับตาว่าโปรเจกต์นี้จะสร้างความรับรู้เรื่อง DeFi ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นได้หรือไม่