Company Note
Prima Marine

เติบโตดี และเติบโตต่อ พร้อมปันผลเด่น

ข้อมูลจากการประชุมนักวิเคราะห์ยืนยันแนวโน้มเป็นบวก โดยคาดว่ากำไรปกติใน 3Q25F จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากเรือใหม่ที่ทยอยเข้ามาในปีนี้และให้บริการเต็มไตรมาส ทำให้เรายังคงคาดว่ากำไรปกติของบริษัทจะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” PRM เนื่องจากแนวโน้มยังดี ราคาหุ้นยังถูก โดย PER ปี 2025F อยู่ที่เพียง 5.9x แต่ Dividend yield สูงถึง 9.9% โดยคาดว่าบริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในช่วงเดือนต.ค. หากคำนวณเงินปันผลระหว่างกาลแบบระมัดระวังเท่ากับปีที่แล้วที่ 0.24 บาท/หุ้น จะคิดเป็นอัตราเงินปันผลที่ 3.9%

คาดกำไรปกติใน 3Q25F ดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ แนวโน้ม 4Q25 ยังดีแต่จะมีเรือใหญ่เข้าอู่

เราคาดว่ากำไรใน 3Q25F จะเติบโตทั้ง YoY (จำนวนเรือเพิ่มขึ้น) และ QoQ เนื่องจากเรือ FSU ลำใหม่ให้บริการเต็มไตรมาส และคาดว่า Utilization rate ของ 3Q25F จะสูงถึง 93.4% จาก 82.4% และ 88.1% ใน 3Q24 และ 2Q25 ตามลำดับ โดยเรือ FSU ลำใหม่ที่มีอัตราค่าเช่าสูง ให้บริการเต็ม 100% ตลอดทั้งไตรมาส ส่วนแนวโน้ม 4Q25F ยังดี โดยบริษัทจะซื้อเรือเคมีเพิ่มอีก 1 ลำในช่วงปลายต.ค. ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ PCT ได้ แม้อาจยังไม่มากเนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ยังคาดว่าธุรกิจ OSV จะมีรายได้และกำไรดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากเรือ Crew Boat ลำใหม่ 2 ลำที่จะเริ่มสัญญาระยะยาวกับลูกค้ารายใหม่ในช่วงต้นเดือนต.ค.และธ.ค. (ในจำนวนนี้ 1 ลำให้บริการแบบ Spot โดยมี Utilization rate ที่ 78% ใน 2Q25) ขณะที่ธุรกิจอื่นยังคงดีต่อเนื่อง แต่ใน 4Q25F จะมีเรือ VLCC เข้าอู่ 45 วัน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะเข้าอู่ทั้งหมดใน 4Q25 หรือจะเป็นช่วงธ.ค.-ม.ค. ซึ่งอาจส่งผลให้กำไร 4Q25F ลดลง QoQ แต่เพิ่มขึ้น YoY จากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว เนื่องจากใน 4Q24 ธุรกิจ FSU มี Utilization rate เพียง 73.5% จากปัจจัยทั้งหมดนี้ เราจึงยังคงคาดหวังว่ากำไรปกติปีนี้จะทำจุดสูงสุดใหม่ได้

เล็งขยายกองเรือต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว

แม้แนวโน้มผลประกอบการยังคงดี แต่บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดหาเรือใหม่เพื่อทดแทนเรือที่มีอายุมาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอัตราค่าเช่า โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทได้สั่งต่อเรือ 6 ลำ ซึ่งจะทยอยรับเรือตั้งแต่เดือนก.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป และหลังจากนั้นจะทยอยรับเรือใหม่ทุกเดือน พร้อมทยอยขายเรือเก่าที่มีอายุมากออกไป การเปลี่ยนเรือให้ใหม่ขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้ (อัตราค่าเช่าดีขึ้น) และประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ส่งผลให้มาร์จิ้นดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะมีเรือเคมีเข้ามาเพิ่มอีก 1 ลำช่วงปลายต.ค.ดังที่กล่าวข้างต้น โดยตั้งเป้าให้บริการลูกค้าญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมองว่าในอนาคตอันใกล้ Supply เรือเคมีอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเรือทั่วโลกมีอายุค่อนข้างมาก (เรืออายุเกิน 15 ปีมีมากกว่าครึ่งของ Supply เรือเคมีทั้งโลก และเรืออายุมากกว่า 15 ปีจะหางานได้ยาก ขณะที่เรืออายุน้อยกว่า 5 ปีมีเพียง 11%) นอกจากนี้ บริษัทอาจลงทุนในเรือ FSU เพิ่มอีก 1 ลำ สำหรับธุรกิจ Offshore Support บริษัทมีการขยายตลาดไปยังตะวันออกกลาง (ADNOC) ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก รวมถึงการกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว บริษัทมีแผนลงทุนในเรือประเภทใหม่ เช่น เรือ AHTS (Anchor Handling Tug Supply) ซึ่งเป็นเรือลากจูงและจัดหาสมอสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือเรือขนส่ง รวมถึงเรือ Crew Transfer Vessel (CTV) ที่ใช้ในการขนส่งอุปกรณ์และเสบียงไปยังแท่นขุดเจาะ สำหรับ Wind Farm ในเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพเติบโตในอนาคต โดยหากพิจารณาจากสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท (Net D/E ณ สิ้น 2Q25 ที่ 0.5x) บริษัทยังมีความสามารถในการกู้เพิ่มได้อีกมาก

คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าเหมาะสมที่ 10 บาท

เราคงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายที่ 10 บาท ซึ่งคิดจาก 2025F PER ที่ 9 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) ซึ่งยังมี Upside อีกมาก รวมถึงแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตดี เราจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อดีมานด์การใช้เรือและต้นทุน