สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(27 สิงหาคม 2568)---------Key Highlights:
• ISSB Standards เป็นมาตรฐานระดับสากลที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเชิงคาดการณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความยั่งยืนที่จะกระทบต่อการเงินของบริษัท ซึ่งประเทศไทยมีแผนจะบังคับใช้มาตรฐานนี้กับบริษัทใน SET50 เป็นกลุ่มแรกในปี 2026 ก่อนจะทยอยบังคับใช้กับบริษัทจดทะเบียนฯ กลุ่มอื่นๆ ให้ครบถ้วนภายในปี 2030
• หากประเมินจากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่ผ่านมา พบว่า กว่า 88% ของบริษัทใน SET และ mai ยังเปิดเผยข้อมูลที่มีความสอดคล้องกับ ISSB Standards อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะกลุ่ม mai ที่ส่วนใหญ่ยัขาดการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศที่เฉพาะเจาะจง ทั้งการกำกับดูแล นโยบาย และแผน ขณะที่บริษัทใน SET50 และ SET100 มีการเปิดเผยข้อมูลที่สอดคล้องกับ ISSB Standards ในระดับสูงกว่าโดยเฉพาะบริษัทใน SET50 ซึ่งส่วนใหญ่มีการจัดทำรายงานตามกรอบ TCFD ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดไปสู่ ISSB Standards ได้มาก
• Krungthai COMPASS แนะนำภาคธุรกิจเร่งศึกษาข้อกำหนดของ ISSB Standards และวิเคราะห์ช่องว่างเพื่อวางแผนพัฒนาอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งติดตามพัฒนาการของ ISSB Standards อย่างใกล้ชิด สำหรับกลุ่มที่มีความสอดคล้องของการเปิดเผยข้อมูลในระดับต่ำควรเริ่มจากการกำหนดผู้รับผิดชอบและทำการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ โดยต่อยอดข้อมูลจากแบบ 56-1 One Report ที่มีอยู่แล้ว ขณะที่กลุ่มที่มีความสอดคล้องระดับสูงควรยกระดับการเปิดเผยข้อมูลให้สอดคล้องครบถ้วนตามข้อกำหนด ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุนด้านความรู้ การเข้าถึงเงินทุน และระบบข้อมูลกลาง
ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างยั่งยืน โดยมองว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำและมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืน มากขึ้น และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในสายตานักลงทุน การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใสและเป็นระบบจึงมีบทบาทสำคัญ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา มีการพัฒนาแนวทางการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนขึ้นหลากหลายมาตรฐาน ซึ่งแต่ละมาตรฐานก็มีจุดเน้น ขอบเขต และรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความซับซ้อนในการเลือกใช้มาตรฐานที่เหมาะสม และนักลงทุนเองก็ประสบปัญหาในการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างบริษัทที่ใช้อ้างอิงกรอบที่ต่างกัน
เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของภาคธุรกิจทั่วโลกให้มีความโปร่งใสและเปรียบเทียบได้ คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืน (The International Sustainability Standards Board: ISSB) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (International Financial Reporting Standards Foundation: IFRS) ได้จัดทำ “ISSB Standards” ให้เป็นมาตรฐานสากลชุดแรกของโลกในการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่ได้รับการรับรองจากองค์กรกำกับดูแลระดับโลกอย่าง องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระหว่างประเทศ (International Organization of Securities Commissions: IOSCO) ซึ่งมาตรฐานนี้อยู่ระหว่างการเตรียมบังคับใช้ในประเทศไทยเช่นกัน โดยเมื่อ 19 พฤศจิกายน – 19 ธันวาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เปิดรับฟังความเห็นจากสาธารณะในหลักการเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของไทยตาม ISSB Standards
บทความฉบับนี้ Krungthai COMPASS จึงอยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตาม ISSB Standards และแนวทางการบังคับใช้ในประเทศไทย มีความแตกต่างจากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนในปัจจุบันของไทยอย่างไร และอะไรคือความท้าทายที่สำคัญ พร้อมทั้งประเมินระดับความสอดคล้องของการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนฯ ไทยในปัจจุบันเทียบกับมาตรฐานดังกล่าว
ทำความรู้จักการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตาม ISSB Standards และการบังคับใช้ในไทย
เมื่อปี 2024 คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืน (ISSB) ได้ประกาศให้เริ่มใช้มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตาม ISSB Standards เพื่อเป็นมาตรฐานกลางของโลกในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐาน 2 ฉบับคือ 1) IFRS S1: General Requirement for Disclosure of Sustainability-related Financial Information หรือข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน ซึ่งระบุข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน รวมถึงโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนทั้ง 3 ประเด็น ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และ 2) IFRS S2: Climate Related Disclosure หรือการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำหนดการเปิดเผยข้อมูลในด้านโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะ
ISSB Standards ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากกรอบแนวทางการรายงานและมาตรฐานความยั่งยืนที่มีอยู่เดิมขององค์กรชั้นนำระดับโลกหลายแห่ง โดยเฉพาะ TCFD Recommendations ที่พัฒนาโดย Task Force on Climate-related Financial Disclosures นับเป็นรากฐานหลักของมาตรฐาน ISSB ในการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, TPT Standards ที่พัฒนาโดย Transition Plan Taskforce เน้นแนวทางการเปิดเผยแผนการเปลี่ยนผ่าน (Transition plan) เฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero, SASB Standards ที่พัฒนาโดย Sustainability Accounting Standards Board ซึ่งต่อมาได้ควบรวมเข้ากับ International Integrated Reporting Council (IIRC) จนกลายเป็น Value Reporting Foundation (VRF) มุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน การกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายรายอุตสาหกรรม, CDSB Framework ที่จัดทำโดย Climate Disclosure Standards Board ซึ่งเป็นแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศให้เชื่อมโยงกับข้อมูลทางการเงิน ทั้งนี้ หากบริษัทที่มีการรายงานตามแนวทางปฏิบัติของ TCFD อยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสู่ ISSB ได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีองค์ประกอบที่สามารถนำมาต่อยอดได้ภายใต้ ISSB Standards ได้มาก
ISSB Standards ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยพบว่า ปัจจุบันมีประเทศและกลุ่มประเทศ 18 แห่งที่นำ ISSB Standards มาใช้หรือใช้มาตรฐานอื่นที่มีความสอดคล้องและเทียบเท่ากับ ISSB Standard ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป (EU) ได้บังคับใช้มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนของยุโรป (European Sustainability Reporting Standards: ESRS) เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการรายงานความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD) ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวได้รับการยอมรับจากทั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืน (ISSB) และคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ว่ามีความสอดคล้องกับ ISSB Standards ในระดับสูง นอกจากนี้ มีอีกกว่า 16 แห่งที่มีแผนจะนำมาตรฐานดังกล่าวมาบังคับใช้ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย เป็นต้น
ประเทศไทยเตรียมบังคับใช้ ISSB Standards สำหรับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะเริ่มต้นในรอบบัญชีปี 2026 สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET50 เป็นกลุ่มแรก ก่อนจะทยอยขยายการบังคับใช้ไปยังกลุ่มบริษัทอื่นๆ โดยในปี 2027 จะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทในกลุ่ม SET100 และในปี 2029 จะครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนฯ ทั้งหมดในตลาด SET รวมถึงบริษัทที่ยื่นขอเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในตลาด SET จากนั้นในปี 2030 จะขยายการบังคับใช้ไปยังบริษัทในตลาด mai ทั้งในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้วและบริษัทที่เตรียม IPO รวมถึงกองทุนประเภทต่างๆ ได้แก่ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund: IFF) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Trust: Infra Trust) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)
ISSB Standards มีอะไรใหม่ อะไรคือความท้าทาย?
ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนฯ ของไทยทุกแห่งมีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตามข้อบังคับพื้นฐานผ่านแบบ 56-1 One Report ซึ่งแม้จะมีเนื้อหาบางส่วนสอดคล้องกับกรอบการรายงานข้อมูลของ ISSB Standards แต่ยังมีเนื้อหาเชิงลึกและรายละเอียดของข้อมูลน้อยกว่ามาก หากเปรียบเทียบตามโครงสร้างหลัก 4 เสาหลักของ ISSB Standards ได้แก่ การกำกับดูแล กลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง และตัวชี้วัดและเป้าหมาย จะพบว่าข้อกำหนดของแบบ 56-1 One Report มุ่งเน้นเพียงการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนภาพรวม รวมทั้งการดำเนินงานที่เกิดขึ้นแล้วเป็นหลัก โดยไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดเฉพาะ ขณะที่ ISSB Standards เน้นการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับข้อมูลทางการเงิน โดยมุ่งให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินผลกระทบของความเสี่ยงและโอกาสด้านความยั่งยืนต่อกระแสเงินสด สถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของกิจการ นอกจากนี้ ISSB Standards ใน IFRS S2 ยังให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลเชิงคาดการณ์ (Forward-looking) ทั้งในด้านกลยุทธ์ การประเมินสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละสถานการณ์อย่างครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข้อกำหนดพื้นฐานตามแบบ 56-1 One Report ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนฯ หลายแห่งที่เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในแบบ 56-1 One Report รวมถึงรายงานความยั่งยืนประจำปี หรือรายงานความยั่งยืนเฉพาะด้าน โดยอ้างอิงตามคู่มือการรายงานความยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล หรืออ้างอิงตามมาตรฐานสากลโดยตรง ทั้งนี้ หากเป็นมาตรฐานที่สอดคล้องกับ ISSB Standards บริษัทกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะมีความพร้อมมากกว่าในการพัฒนาการเปิดเผยข้อมูลให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ ISSB Standards
แม้กรอบการรายงานข้อมูลตาม ISSB Standards จะช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการการ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังตอบโจทย์ ความคาดหวังของนักลงทุน แต่ก็นับเป็นความท้าทายในการปรับตัวให้พร้อมรับกับแนวทางดังกล่าว โดยมีปัจจัยท้าทายที่สำคัญ คือ
1) การขาดแคลนองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตาม ISSB Standards ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการประเมินผลกระทบในเชิงการเงิน ซึ่งจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ขณะที่ผลสำรวจจาก Deloitte Thailand ในปี 20221 พบว่า มีบริษัทไทยเพียง 27% ที่ระบุว่ามีบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน (In house sustainability experts) ที่สามารถรองรับความท้าทายของการรายงานข้อมูลความยั่งยืนได้ สอดคล้องกับผลสำรวจจาก Manpower
Group ในปี 20242 ที่ระบุว่าบริษัททั่วโลกส่วนใหญ่ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะในการขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืน
2) ความไม่พร้อมของระบบข้อมูลภายใน ซึ่งต้องรองรับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อน จากข้อกำหนดของ ISSB Standards ที่เน้นการเชื่อมโยงกลยุทธ์ ความเสี่ยง และข้อมูลทางการเงิน ซึ่งมีความซับซ้อนและต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึก ขณะที่หลายบริษัทยังขาดเทคโนโลยีหรือเครื่องมือในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ สะท้อนจากผลสำรวจของ PwC Thailand ในปี 20253 พบว่า บริษัทในไทยกว่า 42% ยังไม่มีการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์คาดการณ์ และกว่า 47% ยังไม่มีการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้กระบวนการประเมินความเสี่ยง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียแปซิฟิก
1 Deloitte TH ESG and Sustainability Survey 2022
2 ManpowerGroup Employment Outlook Survey 2024Q4
3 Global Compliance Survey 2025 – Thailand Report
3) ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการพัฒนาระบบการรายงานและบุคลากรให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ จะต้องมีการลงทุนในระบบการจัดเก็บข้อมูล เครื่องมือวิเคราะห์ รวมถึงการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน และการอบรมพนักงาน ส่งผลให้ต้นทุนดำเนินงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับตัว โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กอย่างกลุ่ม mai ที่มีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ค่อนข้างต่ำ เฉลี่ย 3 ปี (2022-2024) เพียง 0.4%
ภาคธุรกิจไทยเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนสอดคล้องกับISSB Standardsในระดับไหน?
Krungthai COMPASS ประเมินระดับความสอดคล้องของการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนในปัจจุบันเทียบกับข้อกำหนดของ ISSB Standards ทั้ง IFRS S1 และ S2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเน้นประเด็นสภาพภูมิอากาศที่บริษัทต้องเริ่มรายงานทันทีในปีแรกที่เริ่มบังคับใช้ ขณะที่ประเด็นความยั่งยืนอื่นๆ ยังมีระยะเวลาผ่อนปรนในการเปิดเผยข้อมูล ครอบคลุมประเด็นสำคัญใน 4 เสาหลัก คือ
1) การกำกับดูแล (Governance) เช่น นโยบายการกำกับดูแลด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ 2) กลยุทธ์ (Strategy) เช่น นโยบายความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ (Transition plan) การวิเคราะห์ผลกระทบความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละสถานการณ์ (Climate-related scenario analysis) เป็นต้น 3) การบริหารความเสี่ยง (Risk management) เช่น กระบวนการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และ 4) ตัวชี้วัดและเป้าหมาย (Metrics & Targets) เช่น แผนการจัดการและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในแต่ละขอบเขต และมูลค่าหรือสัดส่วนสินทรัพย์ที่มีความเปราะบางจากความเสี่ยงทางกายภาพด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
บริษัทจดทะเบียนฯ ทั้งใน SET และ mai กว่า 88% ยังเปิดเผยข้อมูลที่มีความสอดคล้องกับ ISSB Standards อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายอย่างมากในการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม mai ที่เกือบทั้งหมดกว่า 99.5% ยังมีความสอดคล้องในระดับต่ำ ในทางกลับกัน หากพิจารณาบริษัทในกลุ่ม SET100 และ SET50 พบว่า มีบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลที่สอดคล้องกับ ISSB Standards อยู่ในระดับสูง อยู่ที่ 37% และ 64% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด สะท้อนระดับความพร้อมในการปรับตัวที่เหนือกว่า เนื่องจากบริษัทในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนในเชิงลึกผ่านรายงานความยั่งยืนซึ่งอ้างอิงกรอบการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานระดับสากลที่มีความสอดคล้องกับ ISSB Standards โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทในกลุ่ม SET50 ที่กว่า 60% มีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเชิงลึกผ่านรายงาน TCFD หรือ IFRS S2 สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของบริษัทขนาดใหญ่ ในการปรับปรุงกระบวนการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
บริษัทที่ยังเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่สอดคล้องกับ ISSB Standards อยู่ในระดับต่ำส่วนใหญ่มีการ เปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดของแบบ 56-1 One Report อยู่แล้ว แต่ยังขาดการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึก โดยเฉพาะด้านสภาพภูมิอากาศ (IFRS S2) เช่น แม้กว่า 82% บริษัทในกลุ่มนี้จะมีการเปิดเผยนโยบายการกำกับดูแลโดยรวม แต่เกือบทั้งหมดยังขาดการเปิดเผยความรับผิดชอบ หรือการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่มนี้กว่า 90% ยังไม่มีการเปิดเผยนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 94% ยังไม่มีการเปิดเผยการวิเคราะห์ผลกระทบความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 75% ยังไม่มีการเปิดเผยแผนการจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลสอดคล้องกับ ISSB Standards ในระดับสูงก็ยังมีประเด็นที่ต้องพัฒนา เช่น การเปิดเผยมูลค่าหรือสัดส่วนของสินทรัพย์หรือกิจกรรมที่เผชิญกับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านและความเสี่ยงทางกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่เปิดเผยข้อมูลนี้
แม้การเปิดเผยข้อมูลตาม ISSB Standards จะกลายเป็นข้อกำหนดที่ภาคธุรกิจต้องปฏิบัติตามในอนาคตอันใกล้ แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวก็นับว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในด้านการบริหารจัดการโอกาสและความเสี่ยงด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทั้งในแง่รายได้ที่สูญเสียไปและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยการศึกษาของ Potsdam Institute for Climate Impact Research ในปี 20244 ระบุว่า ภายในปี 2050 เศรษฐกิจทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้กว่า 19% หรือคิดเป็น 38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การมีข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ขององค์กรยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ อีกทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เช่น สินเชื่อสีเขียว (Green loans) สินเชื่อที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-linked loans) เป็นต้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในยุคที่ผู้มีส่วนได้เสียให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม มากยิ่งขึ้น
Krungthai COMPASS แนะนำภาคธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
• ภาคธุรกิจควรเร่งศึกษาข้อกำหนดของ ISSB Standards ตลอดจนวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) ว่าการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนในปัจจุบัน ยังขาดในส่วนใด เพื่อวางแผนการพัฒนาและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม เช่น บริษัทใน mai ที่ยังมีความสอดคล้องของการเปิดเผยข้อมูลในระดับต่ำ ควรเริ่มต้นจากการกำหนดผู้รับผิดชอบในด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการประเมินประเด็นด้านความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ (Materiality assessment) เพื่อระบุหัวข้อที่ควรให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก โดยอาจใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในแบบ 56-1 One Report เป็นฐานในการเปรียบเทียบกับข้อกำหนดของ ISSB ขณะที่บริษัทที่มีความสอดคล้องของการเปิดเผยข้อมูลในระดับสูงอยู่แล้ว เช่น บริษัทใน SET50 หรือ SET100 ควรเร่งยกระดับการเปิดเผยข้อมูลให้สอดคล้องกับISSB Standards อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะประเด็นที่ยังขาดอยู่ เช่น การเปิดเผยมูลค่าหรือสัดส่วนของสินทรัพย์และกิจกรรมที่เผชิญกับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านและความเสี่ยงทางกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลความยั่งยืนกับข้อมูลทางการเงินอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ ภาคธุรกิจควรติดตามพัฒนาการของ ISSB Standards
อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ISSB ยังมีแผนที่จะพัฒนาและเผยแพร่มาตรฐานเพิ่มเติมครอบคลุมประเด็นความยั่งยืนในด้านอื่นๆ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ ตามที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD)5 เพื่อใช้แนวทางของ TNFD เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ รวมถึงประเด็นด้านทรัพยากรมนุษย์ที่อยู่ระหว่างการศึกษา6
• หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรมีบทบาทสนับสนุนในด้านองค์ความรู้ เงินทุน และระบบข้อมูลกลาง โดยควรดำเนินการจัดอบรม สร้างชุดคู่มือการรายงาน และให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคแก่บริษัท โดยเฉพาะกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและองค์ความรู้ เช่น บริษัทในกลุ่ม mai อีกทั้งควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุนจากแหล่งทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในระบบข้อมูล การจัดทำรายงาน และบุคลากรที่จำเป็นต่อการปรับตัวให้สอดคล้องกับ ISSB Standards นอกจากนี้ ควรพิจารณาจัดทำระบบข้อมูลกลางสำหรับการรายงานข้อมูลความยั่งยืนตาม ISSB Standards ดังเช่นที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคยพัฒนาระบบการรายงานข้อมูลแบบ 56-1 One Report (Structure Data Report) บนระบบ SETLink ซึ่งจะช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลมีความเป็นระบบและเอื้อต่อการเปรียบเทียบระหว่างภาคธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยลดภาระต้นทุนในการจัดทำระบบของแต่ละบริษัทและลดความซ้ำซ้อนในการรายงานข้อมูล