Equality for All
CPF : บมจ. ซีพีเอฟ

2Q25 กำไรสุทธิ 10,377 ลบ. เป็นสถิติใหม่ +50% y-y +21% q-q จากราคาขายเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลงทั้งในไทยและต่างประเทศ :

ยอดขาย อยู่ที่ 147,595 ลบ. -1% y-y ธุรกิจสัตว์บกในประเทศยอดขาย +5% y-y ส่วนสัตว์น้ำหด -5% y-y ขณะที่ยอดขายสัตว์บกต่างประเทศหด -2% y-y สัตว์น้ำต่างประเทศหดตัว -16% y-y โดยยอดขายสัตว์บกคิดเป็น 89% สัตว์น้ำ 11%

อัตรากำไรขั้นต้น ขยับเป็น 19.8% จาก 19.0% ใน 1Q25 ได้ผลบวกจากราคาเนื้อสัตว์เพิ่ม ราคาวัตถุดิบลดลง โดยพบว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์บกต่างประเทศฟื้นตัวจากอานิสงส์ดังกล่าว และสัตว์น้ำได้ผลบวกจากการปรับลดขนาดและค่าใช้จ่ายลง ส่วนสัตว์น้ำต่างประเทศอัตรากำไรขั้นต้นหดตัว

ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร เพิ่มขึ้น +2% y-y +7% q-q

ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม เพิ่มขึ้น +7% y-y +4% q-q จากการดำเนินงานดีขึ้นโดยเฉพาะ CPALL และบริษัทร่วมในต่างประเทศดีขึ้น อีกทั้งในส่วนดอกเบี้ยจ่ายลดลง -4% y-y และ -1% q-q จากการคืนหนี้

รายการพิเศษสุทธิ -618 ลบ. เกิดจาก ขาดทุนจากสินทรัพย์ชีวภาพตามราคาหมูที่ลดลงในเวียดนาม -433 ลบ., ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน -223 ลบ. และกำไรจาการขายเงินลงทุน +38 ลบ.

การดำเนินงานครึ่งปีแรกประกาศจ่ายเงินปันผล 1 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 28 ส.ค. 2025 และประกาศจ่ายเงินปันผล 12 ก.ย. 2025 ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 4%

ประเด็นนำเข้าหมูจากสหรัฐยังต้องใช้เวลาอีกนาน : สำหรับการนำเข้าหมูจากสหรัฐนั้นคาดว่าทางการจะยอมให้นำเข้าไม่เกิน 1% ของเนื้อหมูไทย แต่ยังมีเงื่อนไขที่เข้มงวดในการนำเข้า เช่นห้ามนำเข้าหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง, กรมปศุสัตว์ต้องไปตรวจสอบโรงงานหมูในสหรัฐก่อนที่จะมีการนำเข้าซึ่งขั้นตอนดังกล่าวคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะแล้วเสร็จ

ขณะที่ในส่วนการนำเข้าวัตถุดิบหลักทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองนั้นจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง โดยข้าวโพดของสหรัฐถูกกว่าไทย 2 บาท/ กก. ส่วนถั่วเหลืองนั้นภาษีนำเข้าจากเดิมที่ 2% จะลดเหลือ 0% เช่นเดียวกับกาก DDGS (ผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการผลิตเอทานอล) ภาษีนำเข้าลดลง จาก 9% เป็น 0% ซึ่งยังอยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ปลูกข้าวโพดในไทย สำหรับการซื้อในประเทศ และนำเข้า รวมถึงกระบวนการอื่น ๆ

แนวโน้มราคาหมูอ่อนลงระยะสั้น : ราคาหมูที่ปรับลงช่วงนี้ มีปัจจัยกระทบจากฝนตก และแรงงานเขมรที่กลับบ้านส่งผลให้โรงชำแหละขาดแคลนแรงงานทำให้การเชือดลดลงจึงมีการขาย “หมูเป็น” มากขึ้น ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกลับสู่ภาวะปกติช่วง 4Q25

อย่างไรก็ตาม คาดแนวโน้มราคาหมูในครึ่งปีหลังจะอ่อนกว่าในครึ่งปีแรก แต่ปัจจัยบวกที่คาดจะทำให้ราคาหมูยังยืนระดับสูงได้คือ ผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมหมู 12 รายใหญ่เซ็น MOU ร่วมกันว่าจะชะลอการขยายแม่พันธุ์ 2 ปี เพื่อให้รายย่อยกลับมาขยายได้อีกครั้ง

ส่วนในเวียดนามนั้นระยะสั้นได้รับผลกระทบจาก ASF ที่เกิดขึ้น 27 จังหวัดจาก 34 จังหวัด จากอุปทานที่หายไปจะทำให้ราคาหมูเร่งตัวขึ้น

ปรับประมาณการขึ้นจากเดิม : แม้ในครึ่งปีหลังการดำเนินงานจะอ่อนตัวลงกว่าในครึ่งปีแรกแต่เรายังมีมุมมองบวกต่อข้อมูลที่ได้มาซึ่งส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของไทยว่ายังมีทิศทางที่ดี

เรามีปรับประมาณการขึ้นจากเดิม ปรับยอดขายลงเหลือ 588,575 ลบ. โตอ่อนๆ +1% y-y แต่มีปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นเป็น 18.5% ตามราคาเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นและราคาวัตถุดิบที่ลดลง และปรับค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากเดิมจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ปรับกำไรก่อนรายการพิเศษเพิ่มเป็น 34,467 ลบ. ขยายตัว +81% y-y

รับผลบวกสูงสุดเจรจาภาษี
“ แม้แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลังจะอ่อนลง แต่การประชุมวานนี้เรายังมีมุมมองต่ออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ว่ายังดีต่อเนื่องทั้งจากการนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาเพื่อลดต้นทุนการผลิตลงแต่ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการนำเข้า ขณะที่ในส่วนการนำเข้าเนื้อหมูเรามองว่าผลกระทบอาจไม่รุนแรงและส่งผลให้เกิดปัญหา Oversupply
กลยุทธ์การลงทุน แม้ราคาหมูจะอ่อนลงจากปัจจัยกระทบระยะสั้นทั้งในไทยและเวียดนาม แต่เราคาดว่า CPF จะเป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์สูงสุด คงแนะนำใช้กลยุทธ์ซื้อขายเล่นรอบตามราคาเนื้อสัตว์ ”

นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.th