คาด SET Index ปรับตัวขึ้น : คาดแรงหนุนมาจากสัญญาณเชิงบวกของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนและสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความหวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐฯ รวมถึงไทย ซึ่งเราคาดว่าการประชุมกนง.ในวันนี้จะมีแนวโน้มที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
แนวรับ-ต้าน
1,255-1,275
กลยุทธ์การลงทุน
1) หวัง กนง. ลดอัตราดอกเบี้ย : AMATA, BEM, BTS, CRC, KKP, KTC, MTC, SIRI, SPALI, TIDLOR, TISCO, TRUE, WHA, WHAIR
2) เก็งงบ 2Q68 : AP, BCH, BDMS, CK, LH, PR9 , STECON
3) Anti comm. : BGRIM, GPSC, GULF, SCGP, TASCO , TOA
4) China play : HANA, IVL, PTTGC, SCC
เปิดรับเรื่องราวดีๆ หลังหยุดยาว
สัญญาณความปรองดองของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ : คาด Sentiment หนุนมาจากสัญญาณเชิงบวกทางการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ หลังปธน.ทรัมป์ได้ลงนามเพื่อขยายเวลากำหนดเส้นตายการขึ้นภาษีสินค้าจีนระดับสูงของสหรัฐฯหรือ 145% ออกไปอีก 90 วัน ไปจนถึงวันที่ 10 พ.ย.68 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 12 ส.ค.68 ส่งผลให้จีนยังคงเผชิญภาษีศุลกากร 30% ในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ส่วนสหรัฐฯเผชิญ 10% ในการเข้าสู่ตลาดจีน เมื่ออ้างอิงตามข้อตกลงของทั้ง 2 ประเทศจากการเจรจาที่เจนีวา นอกจากนี้ คาดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง SET IndexI จะได้ Sentiment เชิงบวกจากความคลายกังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังปธน.ทรัมป์ประกาศว่าเขาวางแผนที่จะพบกับปธน.ปูติในวันที่ 15 ส.ค.68 ที่อลาสกาของสหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามของเขาในการยุติสงครามข้างต้น
หวังเฟดลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า : ด้านการเผย CPI เดือนก.ค.68 ของสหรัฐฯ โดย m-m พบว่า Headline และ Core ขยายตัวเท่ากับตลาดคาดที่ 0.2% และ 0.3% ตามลำดับ ส่วน y-y ขยายตัวใกล้เคียงตลาด เรามองตลาดมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวก หลังเงินเฟ้อที่ไม่ได้สร้าง Negative surprise มากนัก ส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.68 สอดรับกับ 1) CME FedWatch Tool ซึ่งให้น้ำหนัก 93.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%ในเดือนข้างต้น เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่ให้น้ำหนัก 85.9% และ 2) การปรับตัวขึ้น 1.39% ของ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หวังนโยบายการเงินและการคลังในประเทศ : ขณะที่การประชุม กนง. ในวันนี้คาดเป็นอีกแรงหนุน โดยเราคาด กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.5% p.a. ด้วยเหตุผลหลักคือเพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2H68 ประกอบกับด้วยนโยบายการค้าสหรัฐฯชัดเจนขึ้น กล่าวคือทราบภาษีศุลกากรที่ไทยต้องเผชิญในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯแล้ว ส่งผลให้ความจำเป็นในการรักษากระสุนเพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนลดลง นอกจากนี้ ติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้และไปสิ้นสุดลงวันที่ 15 ส.ค.68 ซึ่งอาจเป็นอีกแรงหนุน หากการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ 69 วาระ 2-3 มีสัญญาณว่าจะผ่านพ้นไปด้วยดี
ปัจจัยเพิ่มเติม
(+) BOI เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้สิทธิประโยชน์ช่วยสนับสนุนย้ายฐานผลิตมาไทย อีกทั้ง ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่าลงทุน 2.7 หมื่นล้านบาท
(-) คาดหุ้นในกลุ่มพลังงานจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลง 1.24% ปิดที่ 63.17 ต่อบาร์เรล ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าความต้องการใช้น้ำมันจะชะลอตัวลงในช่วงฤดูการขับขี่ยานยนต์ในหน้าร้อนของสหรัฐฯ
(-) บริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวมีกำไรสุทธิรวมใน 2Q68 ลดลง 10.2% y-y ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยภาคการผลิตได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
(-) FAO เผยราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารทั่วโลกปรับตัวขึ้น 1.6% m-m สู่ระดับ 130.1 ในเดือนก.ค.68 นับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.66 โดยรับแรงหนุนจากราคาสินค้าระหว่างประเทศในหมวดเนื้อสัตว์และน้ำมันพืชที่เพิ่มสูงขึ้น
ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน
ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ -นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ และทางเทคนิค #9501
ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ, CISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค #37928
ภัทรดนัย จตุรพร นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน #094041
พศุตม์ โงวิวัฒน์ชัย, CISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน #127632
ฐนพงษ์ แซ่โล้ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชนพัฒน์ สุวิยานนท์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์