สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(13 สิงหาคม 2568)-------บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาส Sideway ออกข้าง เพราะวันหยุดยาว ประกอบกับนักลงทุนเกาะติดการประกาศผลการดำเนินงานของบจ. และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง จึงให้กรอบดัชนีที่ 1,240-1,280 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมีผลในวันที่ 26 ส.ค.นี้
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในสัปดาห์นี้มีโอกาส Sideway ออกข้าง หลังเปิดตลาดจากหยุดยาว ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่จะสิ้นสุดในช่วงกลางสัปดาห์นี้ (14 ส.ค.) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงให้กรอบกรอบดัชนีที่ 1,240-1,280 จุด
อีกทั้ง Fed Watch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 95.2% ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.นี้ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 46.7% ในสัปดาห์ที่แล้ว และทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 5-4 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.0% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นภาพของการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ
ขณะที่สถานการณ์ในประเทศทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนกรกฎาคม 2568 พบอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวที่ระดับ 81.06 นักลงทุนมองการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 68 มาอยู่ที่ 1.8-2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5-2.0% รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออกไทยปีนี้เป็น 2-3% จากเดิมติดลบ 0.5-0.3% จากความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่ง Consensus ส่วนใหญ่ประเมินว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ จะเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ยังคงเฝ้าระวังปัจจัยลบที่ส่งผลเชิงจิตวิทยาการลงทุนจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ต่อเนื่อง อาทิ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 7 ส.ค. ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 50% ทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงที่สุดในรอบศตวรรษ และการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% แต่จะยกเว้นให้สำหรับบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนจะผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงว่า GDP สหรัฐฯ ขยายตัว 2.5% ใน 3Q68 หลังจากเศรษฐกิจขยายตัว 3% ใน 2Q68 และหดตัว 0.5% ใน 1Q68
นอกจากนี้ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ วันที่ 13 ส.ค. กำหนดการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568, วันที่ 14 ส.ค. กำหนดส่งงบการเงินวันสุดท้ายประจำไตรมาส 2/68, สัปดาห์ที่ 3 สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย, ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, วันที่ 18 ส.ค. สภาพัฒน์แถลง GDP 2Q68, ส่วนปัจจัยต่างประเทศ อาทิ วันที่ 13 ส.ค. สหรัฐฯ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 14 ส.ค. จีน รายงานยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนเดือนก.ค., อังกฤษ รายงาน GDP 2Q68 (ประมาณการเบื้องต้น), อียู รายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. และ GDP 2Q68 (ประมาณการครั้งที่ 2), สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.
นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของ MSCI ซึ่งจะมีผลในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยไม่มีหุ้นที่เข้าคำนวณ ดัชนี MSCI Thailand ขณะที่มีหุ้นที่นำออกจากกลุ่มดัชนี ได้แก่ HMPRO, OR ส่วนดัชนี MSCI Global Small Cap มีหุ้นที่เข้าคำนวณ ได้แก่ KTC, HMPRO แนะนำซื้อเก็งกำไร โดยมีหุ้นที่นำออก ได้แก่ ICHI, SISB, TPIPL ซึ่งต้องระวังแรงขายทำกำไร
BVG 2Q25 กำไรพุ่ง 51% หนุน 1H25 สะสม 31 ลบ.เคาะปันผล 0.03 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 8 ก.ย.นี้
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(13 สิงหาคม 2568)-------BVG โชว์ผลงานงวดไตรมาส 2/2568 เติบโตตามเป้า กำไรสุทธิพุ่ง 51% ทะลุ 16 ล้านบาท กวาดรายได้รวม 151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% หนุนภาพรวมครึ่งปีแรกสดใส กำไรสุทธิพุ่ง 28% แตะ 31 ล้านบาท รายได้รวม 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% อานิงสงค์บริการระบบ EMCS โตต่อเนื่องแตะ 126 ล้านบาท จากยอดใช้งาน Claim Settlement ด้าน TPA สดใสขยับกลับมายืนระดับเดียวกับช่วงเดียวกันปี 2566 หลังบุ๊ครายได้ลูกค้ารายใหญ่เต็มไตรมาส ขณะที่มาตรฐาน TFRS 17 หนุนธุรกิจอื่นโตโดดเด่นเกือบ 2 เท่า บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีแรกเป็นเงินสดอัตรา 0.03 บาท/หุ้น คิดเป็น 56% ของกำไรสุทธิสูงกว่านโยบายกำหนด ขึ้น Record Date 27 สิงหาคม กำหนดจ่าย 8 กันยายน 2568
นางนวรัตน์ วงศ์ฐิติรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG หนึ่งในผู้นำในการดำเนินธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชันสำหรับบริหารจัดการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัยรถยนต์ (ระบบ EMCS) ในประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 51% รายได้รวมเพิ่มขึ้น 22% แตะ 151 ล้านบาท ตามการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจให้บริการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำที่เกี่ยวข้อง ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน (BVTPA) ที่เติบโต 24% กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 ที่ราว 66 ล้านบาท จากการรับรายได้เข้ามาเต็มไตรมาสจากลูกค้ารายใหญ่ที่ลงนามสัญญาไปช่วงปลายปี 2567
ขณะที่กลุ่ม BVG หรือกลุ่มธุรกิจการให้บริการแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชั่น สำหรับบริหารจัดการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัยรถยนต์ (ระบบ EMCS) มีรายได้กว่า 63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3% ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนการใช้บริการจัดการสินไหม (Claim settlement) แม้ช่วงไตรมาส 2 จะมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้านกลุ่มธุรกิจบริษัทลูก ทั้งธุรกิจให้คำปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย (BVA), ธุรกิจให้บริการนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ (BVTECH) และธุรกิจให้บริการ คำแนะนำ และวางแผนเข้าถึงการใช้บริการด้านสุขภาพ (BVHCM) ยังคงเติบโตโดดเด่น อานิสงค์การบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 เรื่องสัญญาประกันภัย (TFRS 17) โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 163% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 22 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมงวดไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ราว 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 14% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าการเติบโตของรายได้
นางนวรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2568 ที่แข็งแกร่งตามเป้าหมาย ส่งผลให้ภาพรวมผลงานครึ่งแรกปี 2568 สดใส โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้รวมเพิ่มขึ้น 20% แตะ 303 ล้านบาท ล่าสุดคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) จึงได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งแรกปี 2568 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568) เป็นเงินสดอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายทั้งสิ้นจำนวน 13.5 ล้านบาท คิดเป็น 56% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี ซึ่งสูงกว่านโยบายจ่ายเงินปันผลที่กำหนดไว้ 40% ของกำไรสุทธิ โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 27 สิงหาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2568
“ช่วงครึ่งหลังของปี บริษัทเตรียมลุยศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายโครงการใหม่ เพื่อต่อยอดการให้บริการไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานระบบบริหารจัดการสำหรับธุรกิจประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพของเมืองไทยให้ก้าวไปสู่อีกขั้น พร้อมขับเคลื่อนรายได้รวมเติบโตต่อเนื่อง 2 หลักต่อปี” นางนวรัตน์ กล่าว