สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (8 สิงหาคม 2568 )-----บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiBev (ซึ่งมีอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ ‘BBB-’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) มีมูลค่าไม่เกิน 2.8 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ ‘AA(tha)’ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวอายุไม่เกิน 10 ปี เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหนี้เดิม
หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ThaiBev เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิของ ThaiBev
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินลดลงอย่างต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดการณ์ว่า ThaiBev จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA net leverage ที่ 3.0-3.5 เท่า ในช่วงสองปีข้างหน้า แม้ว่า อัตราส่วนของหนี้สิน ณ มีนาคม 2568 (ครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2568) ซึ่งอยู่ที่ 3.8 เท่า ซึ่งฟิทช์คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 3.4 เท่า ในสิ้นปี งบการเงิน สิ้นสุด กันยายน 2568 (ปีงบการเงิน 2568) หนี้สินสุทธิสูงกว่าระดับที่คาดในครึ่งปีแรกเนื่องมาจากช่วงเวลาของของการจ่ายเงินปันผล (การจ่ายปันผลในครึ่งปีแรกคิดเป็นร้อยละ 75-80 ของทั้งปี)
EBITDA net leverage ของบริษัทฯ จะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดเบียร์ จากการผ่อนผันกฎเกณฑ์การจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในขณะที่ธุรกิจสุราจะยังคงเติบโตอยู่ในระดับต่ำ บริษัทฯ ได้เปิดตัวสุราใหม่เพื่อรองรับความต้องการในตลาดผลิตภัณฑ์พรีเมียม ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของปริมาณจำหน่ายในธุรกิจสุรา แม้ว่าจะมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการแข่งขันจากผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น ๆ ก็ตาม
อัตรากำไรคงที่: ฟิทช์คาดว่า ThaiBev จะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต (EBITDA margin) ที่ร้อยละ 22 ในปีงบการเงิน 2568-2569 EBITDA margin ครึ่งปีแรกงบการเงิน 2568 ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 22.7 จากร้อยละ 21.6 ในปีงบการเงิน 2567 จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงและปริมาณการขายที่เติบโตในตลาดเบียร์ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวอาจถูกลดทอนด้วยการเติบโตของปริมาณการขายที่ต่ำในธุรกิจสุราซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow) ของ ThaiBev จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.0-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2569 จากจากกระแสเงินสดสุทธิที่เป็นลบ 0.7 พันล้านบาทในครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2568 ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากรอบการรับเงินปันผลจากบริษัทลูก และการจ่ายเงินปันผลทั้งปี ค่าใช้จ่ายในการลงทุนของ ThaiBev น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2569 เนื่องจากการขยายโรงงานผลิตนมของ F&N เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ฟิทช์คาดว่า ThaiBev จะใช้กระแสเงินสดสุทธิเพื่อลดหนี้ แม้ว่าหากมีโอกาสในการเข้าซื้อกิจการเกิดขึ้นในอนาคต แผนการเข้าซื้อกิจการของบริษัทฯ อาจทำให้การลดหนี้ช้ากว่าที่คาดการณ์
ผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำในภูมิภาค : สถานะทางธุรกิจของ ThaiBev ได้รับการสนับสนุนจากการเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาค รวมถึงสถานะผู้นำในตลาดสุราในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณการจำหน่ายสุรา บริษัทฯ ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในระดับร้อยละ 35-40 ของปริมาณการจำหน่ายเบียร์ในประเทศไทยและเวียดนาม การขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเวียดนามและเมียนมา ช่วยให้ ThaiBev มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้มีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้น โดยสัดส่วน EBITDA จากประเทศไทยลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 65 ของ EBITDA รวม จากเดิมที่สูงกว่าร้อยละ 90 ในปีงบการเงิน 2560
ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยใน Sabeco :ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ ThaiBev ฟิทช์มองว่า ThaiBev และ Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation (Sabeco) บริษัทย่อยในประเทศเวียดนาม มีความเกี่ยวโยงในด้านการดำเนินงานและกลยุทธ์ทางธุรกิจอยู่ในระดับสูง แม้ว่าบริษัทฯ จะถือหุ้นใน Sabeco ในสัดส่วนเพียงร้อยละ 53.6 ฟิทช์จึงพิจารณา EBITDA รวมของทั้งสองบริษัท แต่หักเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นส่วนน้อยออกในการคำนวณ นอกจากนี้ ฟิทช์ยังถือว่าเงินสดในมือของ Sabeco ในสัดส่วนตามการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (จำนวนประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ณ ครึ่งปีแรกงบการเงิน 2568) เป็นเงินสดที่มีภาระผูกพันซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นรายการหักในการคำนวณหนี้สินสุทธิได้
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
เมื่อเปรียบเทียบ ThaiBev และ Bacardi Limited (BBB-/ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่มีการกระจายทางภูมิศาสตร์ในตลาดที่มากกว่า 160 แห่งทั่วโลก แต่มีอัตรากำไรที่ต่ำกว่า ทั้งสองบริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่คล้ายกันเนื่องจากกำลังลดอัตราหนี้สินลงหลังจากการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในปี 2560-2561 ส่งผลให้ Bacardi และ ThaiBev ได้รับการจัดอันดับที่ระดับเดียวกัน
ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าผู้ผลิตเบียร์ที่ตุรกี Anadolu Efes Biracilik ve Malt Sanayii A.S. (Efes, BB/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ThaiBev มีขนาดการดำเนินงานที่ใหญ่กว่าและมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากกว่า Efes
Becle, S.A.B. de C.V. (Becle, BBB/ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตเตกีลาชั้นนำของโลก Becle มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า ThaiBev แต่มีการกระจายทางภูมิศาสตร์ที่ดีกว่า ดังนั้น Becle มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า นำไปสู่อันดับเครดิตที่สูงกว่า ThaiBev
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ThaiBev อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของบริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) หรือ ปตท. ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจที่ใกล้เคียง ปตท. โดย ปตท. มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของธุรกิจมากกว่า ซึ่งช่วยลดทอนความผันผวนที่เกิดจากธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ปตท. มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า โดยมีอัตราส่วน EBITDA Net Leverage อยู่ที่ระดับประมาณ 2.0 เท่า
สมมติฐานที่สำคัญ
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใต้แบรนด์ของ ThaiBev ในประเทศไทยเติบโตลดลงในอัตราร้อยละ 1-2 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2568 (รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ในปีงบการเงิน 2567 ซึ่งรวมรายได้การขายเบียร์จาก F&N) เนื่องจากปริมาณสุราจะได้รับผลกระทบจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจมหภาคและการปรับขึ้นราคาที่จำกัดจากการขึ้นราคาในช่วงปีงบการเงิน 2566 รายได้สุทธิคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0-2.5 ในปีงบการเงิน 2569-2570
- รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของ Grand Royal Group (GRG) บริษัทย่อยในประเทศเมียนมา เติบโตลดลงในอัตราร้อยละ 8-9 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2569 (รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ในปีงบการเงิน 2567) จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
- รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของ Sabeco คงที่ในปีงบการเงิน 2568 หลังจากลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการฟื้นตัวของความต้องการในเวียดนามที่ช้า ก่อนที่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปีงบการเงิน 2569
- รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และธุรกิจอาหารจะเติบโตที่ระดับกลางร้อยละ 5 - 6 ในปีงบการเงิน 2568-2569
- EBITDA margin (โดยเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต) อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 22 ในปีงบการเงิน 2568-2569 (ในปีงบการเงิน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 21.6) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงชดเชยด้วยแรงกดดันจากเงินเฟ้อและต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 1.2 - 1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2569
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ที่ร้อยละ 50 ในปีงบการเงิน 2568-2569
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ:
- EBITDA net leverage ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง
- มีหลักฐานหรือเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งทางการตลาด หรือประสิทธิภาพในการดำเนินงาน หรืออำนาจในการต่อรองราคา ที่อ่อนแอลง ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง
- กระแสเงินสดสุทธิที่อ่อนแอลงจนอยู่ในระดับศูนย์หรือติดลบ
ปัจจัยบวก:
- EBITDA net leverage อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 เท่า อย่างต่อเนื่อง โดยที่บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำที่แข็งแกร่งทั้งในสินค้าหลักและตลาดหลักของบริษัทฯ รวมถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดสุทธิ
สภาพคล่อง
ThaiBev มีหนี้สิ้น ณ 31 มีนาคม 2568 จำนวน 4.96 หมื่นล้านบาทที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนซึ่งน่าจะมีการต่ออายุและตั๋วแลกเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท โดยส่วนที่เหลือได้แก่เงินกู้ยืมธนาคาร 1.2 หมื่นล้านบาท และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท จะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 3.9 หมื่นล้านบาท (ซึ่งไม่รวมเงินสดที่มีภาระผูกพันตามคำจำกัดความของฟิทช์) และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินประเภทไม่สามารถยกเลิกได้ (committed revolving facilities ) ที่ยังไม่ได้เบิกถอนประมาณ 5.3 พันล้านบาท ThaiBev มีแผนจะออกหุ้นกู้ 2.8 หมื่นล้านบาทในสิงหาคม 2568
สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจาก ความสามารถเข้าถึงตลาดทุนและเงินกู้ยืม จากสถานะทางเครดิตและการกระแสเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่งของ ThaiBev
ข้อมูลบริษัท
ThaiBev เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สรุปรายการปรับปรุงงบการเงินที่สำคัญ
เงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดของ Sabeco ถูกปรับปรุงโดยรวมเฉพาะมูลค่าตามสัดส่วนการควบคุมกิจการ
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG)
เว้นแต่ที่ได้เปิดเผยเพิ่มเติมในส่วนนี้ ระดับคะแนนสูงสุดของ ESG Relevance Score อยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งหมายถึงประเด็นเกี่ยวกับ ESG ไม่มีผลต่อสถานะทางเครดิตหรือมีผลกระทบที่เล็กน้อยมากต่อบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับ อันเนื่องมาจากลักษณะทางธุรกิจหรือวิธีการจัดการของบริษัท ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ของฟิทช์ หาได้ที่ www.fitchratings.com/esg