Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ฟิทช์คงอันดับเครดิต KCE ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

78

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (8 สิงหาคม 2568 )-----บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ KCE ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

 

ถึงแม้ว่าอันดับเครดิตของบริษัทจะถูกจำกัดด้วยสถานะทางการตลาดและขนาดของบริษัทก็ตาม การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าสถานะทางการเงินของ KCE จะยังคงความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับอันดับเครดิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า KCE มีผลประกอบการที่มั่นคง และความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมที่สูง จากอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ และน่าจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวทางการเงินในการรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ KCE จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่าในปี 2570 จากการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมโรจนะ (โครงการโรจนะ)  ก่อนที่จะลดลง นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงค์จากแผนการใช้จ่ายลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

รายได้ที่ฟื้นตัวในปี 2569: ฟิทช์คาดว่า การปรับปรุงช่องทางจัดจำหน่ายและความต้องการที่คงที่สำหรับผลิตภัณฑ์ High-Density Interconnect (HDI) จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของยอดขายให้เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 2 ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่ารายได้จะปรับตัวลงประมาณร้อยละ 4 ในปี 2025 จากแรงกดดันจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศ การเติบโตที่ชะลอตัวของภาคยานยนต์ และการแข็งค่าของสกุลเงินท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในรถยนต์ ซึ่งรวมไปถึงระบบ 5G, ระบบช่วยเหลือในการขับขี่แบบอัตโนมัติ (ADAS) และระบบตรวจจับแสงและวัดระยะ (LIDAR) จะช่วยสนับสนุนความต้องการของผลิตภัณฑ์แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ของ KCE  ในระยะกลาง

 

อัตราส่วนกำไรที่มั่นคง: ผลประกอบการณ์ของ KCE มีความมั่นคง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 16.9 ในปี 2567 จากร้อยละ 16.6 ในปี 2566 แม้จะเผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ โดยมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตจากการทดแทนแรงงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลให้จำนวนแรงงานที่ต้องจ้างลดลง การปรับสูตรเคมี และการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานได้ช่วยชดเชยผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มมากขึ้น และผลกระทบจากสกุลเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น

 

ฟิทช์คาดว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า EBITDA Margin ของบริษัทจะอยู่ในช่วงร้อยละ 16-18 โดยน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง รวมไปถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Utilisation Rate) และประโยชน์จากการเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่ายในยุโรปที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ

ความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมที่แข็งแกร่ง:  การที่ KCE ยังคงมีเงินสดมากกว่าหนี้สิน ณ สิ้นปี 2567 น่าจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการรองรับการลงทุนที่สูง ฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage ของ KCE จะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 1.5 เท่าถึงแม้ว่า KCE จะตัดสินใจลงทุนในโครงการโรจนะในช่วง 2569 – 2570 โดยฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage น่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 1.0 เท่า ในปี 2571 จากการที่ KCE จะสามารถใช้เงินในการสนับสนุนการลงทุน จากกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจเดิม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่มาจากการลงทุนใหม่ดังกล่าวได้ นอกจากนี้ KCE ยังสามารถเลื่อนการลงทุนในโครงการโรจนะออกไปอีก ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมให้มากขึ้น

 

แผนการลงทุนที่ยืดหยุ่น: KCE มีแผนการลงทุนรวมจำนวน 9 พันล้านบาทในช่วงปี 2568-2570 ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโรงงานโรจนะ จำนวนประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งยังคงมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามความต้องการของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทได้เลื่อนการก่อสร้างโครงการโรจนะ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ มีกำลังการผลิต 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน ออกไปจาก 2568 เป็น 2569 เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด อย่างไรก็ตาม หาก KCE เลือกที่จะตัดสินใจลงทุนดังกล่าว ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจำนวนประมาณ 2.5 พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนในเครื่องจักรและการสนับสนุนการผลิต ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากความต้องการผลิตภัณฑ์จริงในอนาคต อยู่ในระดับต่ำกว่าที่บริษัทคาด  ซึ่งความยืดหยุ่นดังกล่าวได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของบริษัท

 

ความแข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรฯ รถยนต์: อันดับเครดิตของ KCE สะท้อนถึงการเป็นผหนึ่งในสิบผู้ผลิตอันดับแรกของโลกในธุรกิจผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีวงจรสินค้าที่ค่อนข้างยาว และต้องอาศัยความผูกพันกับลูกค้าในการได้มาซึ่งยอดขายทำให้เป็นธุรกิจที่มีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรม (High Barrier to Entry) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าบริโภคทั่วไป (Consumer Electronics)

 

โอกาสการเติบโตระยะยาว: ฟิทช์คาดว่าอุตสาหกรรมแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การขยายกำลังการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า และการที่รถยนต์มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาอันใกล้   อุปกรณ์ใหม่ในรถยนต์ เช่นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย และการช่วยเหลือในการขับขี่ และอุปกรณ์ด้านความบันเทิง ซึ่งมีอยู่ในรถยนต์ราคาแพง ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ระดับกลาง

 

การกระจุกตัวของรายได้ที่ลดลง: ความพยายามของ KCE ที่จะเพิ่มสัดส่วนสินค้า HDI ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่รถยนต์ จะช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการขายแผ่นพิมพ์วงจรจากลูกค้ารายใหญ่ 5 รายแรกที่ประมาณร้อยละ 53 ในปี 2567 ซึ่งค่อยๆ ลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากประมาณร้อยละ 65 ในปี 2553

 

อัตรากำไรที่มีความอ่อนไหวต่อค่าเงินบาท: ธุรกิจของ KCE มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรมีความผันผวน   โดยในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ส่งออก รายได้และกำไรจะลดลงเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากประมาณร้อยละ 85-95 ของรายได้ อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร  ในขณะที่ร้อยละ 50-60 ของต้นทุนอยู่ในรูปเงินบาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

KCE และ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EPG, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ต่างมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ขายสินค้าคนละชนิด   EPG เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ที่ทำจากโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมด  

 

EPG มีการกระจายตัวของธุรกิจและลูกค้าที่มากกว่า KCE โดย EPG มีการกระจายรายได้จากการผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นและผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม   KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA Margin และ กระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free Cash Flow Margin) ที่สูงกว่า ด้วยสถานะทางธุรกิจที่เทียบเคียงกันและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียว อันดับเครดิตของทั้งสองบริษัทจึงเท่ากัน

 

KCE มีอันดับเครดิตที่สูงกว่าบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (SCGJWD, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ BBB+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) อยู่ที่ ‘bbb(tha)’ โดยสถานะทางธุรกิจของ KCE แข็งแกร่งกว่า SCGJWD เนื่องจากธุรกิจของ KCE มีการแข่งขันที่ต่ำกว่าสืบเนื่องมาจากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจการผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์ที่สูงกว่าอุตสาหกรรมบริการโลจิสติกส์ของ SCGJWD นอกจากนี้ KCE ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า ส่งผลให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGJWD อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตของ KCE สองอันดับ

 

อันดับของ SCGJWD ได้รับการปรับขึ้นหนึ่งอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังที่ ‘bbb(tha)’ เนื่องจากมีแรงจูงใจในการสนับสนุนระดับปานกลางจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

 

สถานะทางธุรกิจของ KCE อ่อนแอกว่าบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A (tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a(tha)) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน   SCGP มีขนาดของรายได้และ EBITDA ที่ใหญ่กว่ามาก และยังเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่า KCE มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่า ส่งผลให้ KCE ถูกจัดอันดับต่ำกว่า SCGP หนึ่งอันดับ

 

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

  • รายได้ยังคงลดลงร้อยละ 4 ต่อปี ในปี 2568 จากนั้นฟื้นตัวขึ้นที่ร้อยละ 2 ในปี 2569 และ 2570 (ปี 2567 ลดลงร้อยละ 9) จากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัว ขณะที่ความต้องการของแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกรดพิเศษ ยังคงแข็งแกร่ง
  • รายได้เติบโตร้อยละ 27 ต่อปี ในปี 2571 จากคำสั่งซื้อสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร HDI ซึ่งผลิตที่โรงงานโรจนะ
  • EBITDA Margin ตกลงต่ำสุดเป็นร้อยละ 16-17 ในปี 2568 โดยประมาณ (ร้อยละ 16.6 ในปี 2566) จากนั้นค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเป็นร้อยละ 18 จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Capacity Utilisation) การเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง และมาตรการที่เพิ่มประสิทธิผลในการผลิต (Efficiency Improvement Measures)
  • แผนการใช้จ่ายลงทุนทั้งหมด สำหรับโครงการโรจนะ และการปรับปรุงด้านเทคโนโลยี จำนวน 9.0 พันล้านบาท ในปี 2568-2570 (ปี 2567 จำนวน 415 ร้อยล้านบาท)
  • รักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) อยู่ในระดับที่ร้อยละ 80

 

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ

  • กระแสเงินสดที่ต่ำกว่าที่คาด หรือเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาด หรือมีการซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วน EBITDA Net Leverage ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
  • EBITDA Margin ต่ำกว่าร้อยละ 13 อย่างต่อเนื่อง
  • สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง หรือการสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ

 

ปัจจัยบวก

  • ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้หาก KCE สามารถขยายขนาดธุรกิจและเพิ่มการกระจายตัวของลูกค้าได้สำเร็จ

 

สภาพคล่อง

ณ สิ้นไตรมาสแรก ของปี 2568 KCE มีหนี้ทั้งหมดที่ 891 ล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 886 ล้านบาท โดยเป็นหนี้เพื่อสนับสนุนการส่งออก จำนวน 821 ล้านบาท ซึ่งน่าจะได้รับการต่ออายุ    สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 2.2 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการชำระหนี้ทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้เงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตน่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน

 

ข้อมูลบริษัท

KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยรายได้จากแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 84 ของรายได้แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของบริษัทฯ    KCE ส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลก โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2567 ร้อยละ 53 มาจากทวีปยุโรป ร้อยละ 21 จากทวีปอเมริกา และร้อยละ 26 จากทวีปเอเชีย

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

โหมดพักตัว By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มาอัพเดทข่าวสารในวันศุกร์ที่ 8 เดือน 8 ปี 68 หุ้นไทยในภาคเช้าที่ผ่านมา เข้าสู่โหมดพักตัว .....

IND ทำดีเพื่อสังคม มอบน้ำดื่ม 500 ขวด สนับสนุน "มูลนิธินวัตกรรมเพื่อชุมชน"

IND ทำดีเพื่อสังคม มอบน้ำดื่ม 500 ขวด สนับสนุน "มูลนิธินวัตกรรมเพื่อชุมชน"

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้